วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563


               สรรพคุณ ประโยชน์ของชมพู่

สรรพคุณชมพู่
1 ชมพู่มีสรรพคุณเป็นยาลดน้ำหนักธรรมชาติ ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีมากๆ เพราะชมพู่นั้นเป็นผลไม้ที่ฉ่ำน้ำจึงทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว มีแคลอรีต่ำมาก หากใครที่อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารก็อย่าพลาดที่จะลิ้มลองชมพู่เป็นประจำ

2 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น จากที่เกริ่นไปแล้วในข้างต้นว่าชมพู่สดมีใยอาหารที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ จึงทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล ไม่มีปัญหามาให้กวนใจ

3 ชมพูมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการวิจัยพบว่าการกินชมพู่สดเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงโรคเกี่ยวกับหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง

4 ชมพู่มีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากอาการไข้และรักษาโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

5 ชมพู่มีไลโคพีน (Lycopiene) คือรงควัตถุสีแดงที่มีความสำคัญในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ไม่กี่ชนิดเท่านั้นนะ

6 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารได้

7 ชมพู่มีวิตามินเอก็ไม่น้อยเลย จึงช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับสายตาได้ดี และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายตาให้ดีขึ้น

8 ชมพูมีสรรพคุณลดไข้ แก้ท้องเสียได้ ตามตำรับยาแผนไทย หากนำชมพู่มาทำให้แห้งแล้วบดไว้เป็นยากินสำหรับใช้บำรุงร่างกายได้ ส่วนเมล็ดก็ใช้เป็นยาบรรเทาอาการท้องเสีย และใบก็ช่วยลดไข้ได้ด้วย

9 ชมพู่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่มีความสำคัญต่อการดูแลผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณกระชับเต่งตึง และรักษาบาดแผลตามร่างกาย

10 ชมพู่อุดมด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมมาเป็นตัวช่วย

11 ชมพู่สดยังมีสรรพคุณทางยา รวมทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลชมพู่ ที่จะช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย โดยเฉพาะช่วยบำรุงหัวใจได้มาก

12 ชมพู่มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความสดชื่น เพราะเนื้อชมพู่สดมีน้ำค่อนข้างมาก จึงช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง บำรุงให้ผิวสวยสดใส หรือจะนำมาปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่มก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ตลอดทั้งวัน และแก้กระหายน้ำได้ดี

คุณค่าทางโภชนาการต่างๆ ในเนื้อของชมพู่มีมากมาย ทั้งวิตามินหรือแร่ธาตุ อาทิ ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เรียกว่า...สรรพคุณและประโยชน์ของชมพู่นั้นเหมาะกับสาวๆ ที่อยากมีผิวพรรณสดใส หุ่นสวย ไม่ต้องอดอาหาร...โดยในการกินชมพู่หากมีรสไม่หวานมากสามารถกินได้ไม่เกิน 6 กิโลกรัม เพราะชมพู่ 1 กิโลกรัม จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ชมพู่จึงถือเป็นผลไม้มหัศจรรย์สำหรับทุกคนที่ไม่ว่าจะกินมากแค่ไหน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มขึ้นแน่นอน
 อ้างอิง https://sukkaphap-d.com

รูปสตรอเบอร์รี่
สรรพคุณของสตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย
ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย
มีส่วนช่วยบำรุงประสาทและสมอง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
ช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาด ปราศจากคราบไขมัน
ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งอย่างไนโตรซามีน (Nitrosamines) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพกทิน ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลได้
มีส่วนช่วยบำรุงโลหิต
ช่วยลดความดันโลหิต
มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์สมองพิการได้ (กรดโฟลิก)
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยปรับสมดุลของนัยน์ตาให้เป็นปกติ และป้องกันโรคต้อกระจก โรคตาบอดตอนกลางคืน การรับประทานสตรอเบอร์รี่เป็นประจำจึงช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง 50%
การดื่มน้ำสตรอเบอร์รี่จะช่วยบำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัดและภูมิแพ้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
ช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
เป็นยาระบายอ่อน ๆ
ช่วยแก้อาการท้องร่วง (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลสดครั้งละ 5 ผล
มีส่วนช่วยรักษาโรคนิ่วในไต
ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
ช่วยแก้ปัญหาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติด้วยการใช้ใบและราก (โดยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ) ตากแห้ง นำมาชงกับน้ำเดือด แล้วดื่มแทนชา และใช้รากสตรอเบอร์รี่ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำเดือด 1 กาขนาดกลาง
ช่วยบรรเทาอาการของโรคตับอักเสบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา
ช่วยป้องกันโรคเกาต์
ช่วยแก้อาการเจ็บคอ รักษาแผลในช่องปาก (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
ใบสดนำมาโขลกแล้วนำไปประคบตามร่างกาย ช่วยลดอาการอักเสบบวมช้ำได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง https://medthai.com


อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แต่สำหรับบางคนแล้วกลับไม่ชอบรับประทานอะโวคาโดเอาเสียเลย เพราะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน และมีไขมันสูง ผลไม้ชนิดนี้จึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ว่าผลอะโวคาโดน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณครึ่งผล) จะมีไขมันสูงถึง 14.66 กรัม ! (ถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นจะมีไขมันน้อยมากหรือไม่มีไขมันเลย) แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการรับประทานอะโวคาโดไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอื่นในปริมาณเท่ากัน แถมการรับประทานอะโวคาโดยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย และไม่ทำให้อ้วน แถมยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย !

                                      
ประโยชน์ของอะโวคาโด
อะโวคาโดมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยได้ดีกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ จึงช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี
ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้
อะโวคาโดช่วยลดน้ำหนัก การรับประทานอะโวคาโดสามารถช่วยลดน้ำหนักตัวและลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL) ลงได้อย่างชัดเจน
อะโวคาโดเป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีคุณสมบัติในการช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือดได้ จึงช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวาย
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
ในผลอะโวคาโดมีวิตามินซีซึ่งช่วยป้องกันหวัดได้
อะโวคาโดมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการเกิดโรคปากนกกระจอก
อะโวคาโดมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
ไขมันในอะโวคาโดสามารถช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นตัวช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไลโคปีน เบตาแคโรทีน หรือลูทีนในผักผลไม้ต่าง ๆ
การรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความถี่ของการเกิดโรคเหน็บชาได้
อะโวคาโดมีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งเหมาะให้ลูกน้อยรับประทานเป็นอาหารเสริม แม้ว่าจะมีแคลอรีสูงแต่ก็อุดมไปด้วย DHA และไขมันดี (HDL) ในปริมาณที่สูงเช่นกัน
อะโวคาโดมีโฟเลตสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะจำเป็นสำหรับทารกในครรภ์
น้ำมันอะโวคาโดเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดหากเทียบกับน้ำมันอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด อัลมอนด์ หรือแม้กระทั่งน้ำมันมะกอก
น้ำมันอะโวคาโดสามารถนำมาใช้นวดศีรษะเพื่อช่วยเร่งการงอกของเส้นผมได้
อะโวคาโด ประโยชน์นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือรับประทานร่วมกับไอศกรีม นมข้นหวาน น้ำตาล เค้ก สลัด ฯลฯ
เนื้อของอะโวคาโดสามารถนำมาปรุงอาหารแทนเนยได้
สามารถนำมาสกัดน้ำมันทำเป็นเครื่องสำอางได้
อะโวคาโดสดสามารถใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะช่วยทำให้คุณมีผิวพรรณที่ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวาได้
อ้างอิง https://medthai.com

                                  
มะม่วงจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย และถือว่าเป็นผลไม้ประจำชาติของประเทศอินเดีย ในบ้านเรานั้นมะม่วงจัดเป็นผลไม้เศรษฐกิจซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 3 ของโลก

สำหรับพันธุ์มะม่วงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์มาก โดยสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดเห็นจะเป็นพันธุ์เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ อกร่อง ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรสชาติและลักษณะแตกต่างกันออกไป

ประโยชน์ของมะม่วงที่เราเห็นเป็นประจำก็คงจะไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก หรือมีการไปทำเป็นอาหารว่างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง พายมะม่วง และนำไปใช้ประกอบอาหาร เช่น ใส่น้ำพริก ยำ ส้มตำ ส่วนยอดอ่อนหรือผลอ่อนก็สามารถนำมาประกอบอาหารแทนผักได้ด้วย เป็นต้น

สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงนั้นจะมีแคลอรีสูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมันจากกะทิเป็นหลัก ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีสุขภาพดี การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือน้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเสียทีเดียว แต่การรับประทานก็ควรรับประทานอย่างระวัง และพิจารณารับประทานให้พอดีกับสุขภาพก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด
สรรพคุณของมะม่วง
รับประทานมะม่วงก็ช่วยทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน
มะม่วงมีวิตามินซีสูง จึงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
มะม่วงมีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบตาแคโรทีน
เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผ่อนคลายและหลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ รวมไปถึงต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ช่วยเยียวยาและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ใบมะม่วงประมาณ 15 ใบ นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาด 1 ถ้วย โดยใช้ไฟอ่อน ๆ นาน 1 ชั่วโมง ถ้าน้ำแห้งก็เติมเรื่อย ๆ เมื่อเสร็จแล้วนำมาตั้งทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืน พอเช้าก็นำมากรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยแก้โรคคอตีบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
แก้ซางตานขโมยในเด็ก ด้วยการใช้ใบมะม่วงพอประมาณนำมาต้มรับประทาน
ช่วยรักษาอาการเยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
เปลือกมะม่วงของผลดิบ นำมาคั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนและอาการปวดเมื่อยช่วงมีประจำเดือน
เปลือกต้นมะม่วง นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน
ไฟเบอร์จากมะม่วงเป็นตัวช่วยสำหรับการย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงาน
แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
ช่วยแก้อาการบิด ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
แก้อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม
มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ด้วยการรับประทานมะม่วงสุก
ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
น้ำต้มกับใบมะม่วงสดประมาณ 15 กรัม ใช้ล้างบาดแผลภายนอกได้
ใช้เป็นยาสมานแผลสด ด้วยการใช้ใบมะม่วงสดล้างให้สะอาดแล้วนำมาตำและพอกบริเวณที่เป็นแผล
อ้างอิง https://medthai.com

                                      
สำหรับสายพันธุ์ส้มนั้นมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกซื้อส้มให้มีรสชาติหวานอร่อยควรเลือกส้มที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เพราะจะให้น้ำเยอะ สำหรับส้มที่นิยมปลูกมากในบ้านเรานี้ก็ได้แก่ ส้มเกลี้ยง ส้มเขียวหวาน ส้มจุก ส้มตรา (ส้มเช้ง) และส้มโอ ส่วนชนิดของส้มนั้นก็ได้แก่
ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวาน เหมาะกับการคั้นกินสด ๆ มีเปลือกบางและคั้นดื่มง่าย
ส้มเกลี้ยง ถิ่นกำเนิดจากจีน เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่นิยมปลูกกันมากในไทย เหมาะแก่การใช้ทำบุญหรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ส้มเช้งหรือส้มตรา ส้มพื้นเมืองของชาวจีนและจัดว่าเป็นผลไม้มงคลในการประกอบพิธีต่าง ๆ ใช้กินสด ๆ หรือทำเป็นน้ำผลไม้
ส้มแก้ว ปลูกมากในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นส้มที่มีขนาดใหญ่รองจากส้มโอ นิยมใช้ทำน้ำส้มคั้น และเป็นผลไม้เซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ
ส้มจุก มีรสชาติหวานอ่อน ๆ เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ส้มจีน ผลไม้มงคลสำหรับคนจีน สีเหมือนทอง นิยมนำมาไหว้เจ้าหรือบรรพบุรุษ
ส้มจี๊ด ไม่นิยมนำมากินเพราะมีรสเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมนำมาอบแห้ง
ส้มโอ สามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิดทั้งคาวและหวาน
ส้มซันคิสต์ รสชาติเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม นิยมใช้เปลือกมาทำขนม เช่น แยม คุกกี้
เลมอน มีรสเปรี้ยวหวานนิด ๆ เป็นที่นิยมของต่างประเทศ
มะนาว ก็จัดอยู่ในตระกูลส้มเหมือนกันและจัดว่ามีรสเปรี้ยวมากที่สุด
มะกรูด นิยมนำกลิ่นหอมจากเปลือกมาใช้ในการปรุงอาหาร แต่น้ำมะกรูดก็นำมาใช้ทำยาสระผมได้เหมือนกัน
สรรพคุณของส้ม
ส้มมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยในการชะลอวัย
ส้มมีคุณสมบัติในการช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
ส้มช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน
ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก เพราะส้มมีวิตามินซี
ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ด้วยแคลเซียมและวิตามินดีจากส้ม
การกินส้มก็ช่วยลดสภาวะความเครียดได้เหมือนกันนะ
ส้มช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยในการขับถ่าย เพราะส้มมีกากใยสูง
ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และที่กระเพาะ
ช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตหากกินผลไม้ตระกูลส้มเป็นประจำ
สารฟลาโวนอยด์ในส้มจะช่วยป้องกันการอักเสบและเลือดจับตัวกันเป็นก้อน
ในส้มมีสารเบตาแคโรทีนที่ช่วยชะลอความเสื่อมเส้นผม เล็บ และผิวของคุณ และช่วยให้ผนังหลอดเลือด เส้นเลือดฝอยแข็งแรง
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายของเรา
ช่วยในการสมานแผลต่าง ๆ เช่น แผลไฟไหม้หรือแผลหลังผ่าตัดให้หายดียิ่งขึ้น
เปลือกส้มจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
เปลือกส้มมีสารช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกรองสารพิษในตับได้ด้วย
เปลือกส้มมีฤทธิ์ในการช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
อ้างอิง https://medthai.com

โคโรน่า

สถานการณ์ทั่วโลก ณ วันพุธ ที่ 29 มกราคม 2563 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) นับถึงวันอังคารที่ 28 มกราคม ภายในประเทศจีนมีผู้ป่วยจำนวน 5,974 ราย ราย เป็นผู้ป่วยอาการรุนแรงขั้นวิกฤต 1,239 ราย จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 132 ราย ส่วนนอกจีนแผ่นดินใหญ่พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในฮ่องกง 8 ราย, มาเก๊า 7 ราย, ไต้หวัน 8 ราย, ไทย 14 ราย และอีกหลายประเทศ

ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้มาก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเป็นประเทศที่มีเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่นมาลงมากที่สุดเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลก สนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินปลายทางที่รับผู้โดยสารจากอู่ฮั่นมากกว่าสนามบินอื่นในโลก ขณะที่สนามบินดอนเมืองและภูเก็ตก็ติดอยู่ในท็อป 10 ด้วย ในทางกลับกัน ชาวไทยก็เดินทางไปประเทศจีนมากเช่นกัน

การเกิดโรคระบาดเป็นสถานการณ์ที่เราควรตระหนัก ป้องกัน และรับมืออย่างรู้เท่าทัน แต่ด้วยข้อมูลมากมายที่ถูกนำเสนอออกมาถี่ ๆ มีทั้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ ไปจนถึงข่าวปลอม ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวไปจนถึงขั้นตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ รวมถึงตัวผู้เขียนเองที่ติดตามข่าวแล้วเห็นภาพในภาพยนตร์ซอมบี้ ทั้งที่สถานการณ์จริงไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนั้น นี่ก็เป็นสัญญาณที่เตือนให้รู้ตัวว่าเราตระหนกเกินไปแล้วแน่ ๆ ซึ่งการตระหนักมากเกินไปจนกลายเป็นตระหนกก็ไม่เกิดประโยชน์หรือผลดีแต่อย่างใด ดังนั้น “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” จึงรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือมานำเสนอเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในสถานการณ์นี้

รู้จักไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์เก่า-สายพันธุ์ใหม่

ข้อมูลพื้นฐาน 9 ข้อต่อไปนี้ ซึ่งอ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางน่าจะทำให้รู้จักไวรัสโคโรน่าและเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้มากขึ้น

1.ไวรัสโคโรน่า (Coronavirus) เป็นชื่อไวรัสตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยตั้งแต่โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่รุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) และโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ก่อนหน้านี้พบเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์


2.ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (Novel Coronavirus 2019) ที่ระบาดอยู่ตอนนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า 2019-nCoV พบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 และระบาดต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์

3.ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์เป็น zoonotic infection คือไวรัสที่ติดเชื้อทั้งในสัตว์และคน ก่อนหน้านี้พบการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าจากสัตว์สู่คน เช่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) แพร่เชื้อจากชะมดสู่มนุษย์ในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ. 2545 และไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคเมอร์ส (MERS) แพร่เชื้อจากอูฐสู่มนุษย์ในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี พ.ศ. 2555 นอกจากนั้น มีไวรัสโคโรน่าอีกหลายตัวที่ระบาดในสัตว์แต่ยังไม่ติดต่อสู่คน

4.ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์ติดต่อจากคนสู่คนหลังจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่างสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส โรคเมอร์ส และสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ระบาดอยู่ตอนนี้

5.ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไม่แพร่กระจายทางอากาศ การเดินสวนกันหรืออยู่ในสถานที่เดียวกันไม่ทำให้ติดเชื้อ แต่การสัมผัสระยะใกล้ การอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอ จาม แล้วมีฝอยละอองหรือมีน้ำมูกกระเด็นมาโดนจะทำให้ติดเชื้อได้

6.อาการของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าขึ้นอยู่กับไวรัสแต่ละสายพันธุ์ อาการที่พบบ่อยทั่วไป คือ อาการทางระบบหายใจ อย่างมีไข้ ไอ หายใจถี่ และหายใจลำบาก ในเคสที่รุนแรงอาจทำให้เกิดโรคปอดบวม โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ไตวาย และรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต

7.เนื่องจาก 2019-nCoV เพิ่งพบการระบาดในมนุษย์จึงยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ส่วนการพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ก็ต้องใช้เวลาหลายปี

8.การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังไม่มียาและวิธีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง วิธีการรักษาที่ทำอยู่ในตอนนี้ คือ รักษาตามอาการหรือเงื่อนไขทางเทคนิคของผู้ป่วยรายนั้น ๆ ซึ่งการรักษาประคับประคองตามอาการก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาผู้ป่วยหายแล้วจำนวนมาก

9.ไวรัสโคโรน่าเป็นเชื้อโรคที่กลายพันธุ์ง่าย เพราะมีโครงสร้างไม่ซับซ้อน คือมีสารพันธุกรรมประเภท RNA สายเดียว จึงเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ง่าย ส่งผลให้รับมือเชื้อยาก เพราะเชื้อโรคจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลาPhoto by Getty Images
                          โคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ อันตรายแค่ไหน เรากลัวมากไปหรือกำลังพอดี?

จากไวรัสในสัตว์สู่เชื้อโรคติดต่อในคน

โดยทั่วไปแล้วไวรัสโคโรน่าเป็นไวรัสที่ติดต่อระบาดกันในสัตว์ แต่บางสายพันธุ์สามารถติดต่อและก่อโรคในมนุษย์ได้

การระบาดก่อโรคของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในมนุษย์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ ประเทศจีน พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงมีการรายงานต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าพบผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวนมากที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่เคยพบการติดเชื้อในมนุษย์มาก่อน

ต่อมาในวันที่ 7 มกราคม 2563 ทางการจีนรายงานว่าสามารถระบุได้ว่าไวรัสตัวใหม่นี้ คือ ไวรัสโคโรน่า ซึ่งเป็นตระกูลของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคซาร์สและเมอร์สที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไวรัสตัวใหม่นี้มีชื่อชั่วคราวว่า “2019-nCoV” หรือ “Novel Coronavirus 2019” ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2563 จีนเผยแพร่ genome ของเชื้อ Novel Coronavirus 2019 ลงในธนาคารรหัสพันธุกรรมโลก (GenBank) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลพันธุกรรมที่นักวิจัยรวมถึงบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ได้

จีนสืบสวนหาแหล่งแพร่เชื้อที่เมืองอู่ฮั่น โดยเริ่มจากเบาะแสที่ว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกที่เป็นคนงานและลูกค้าของตลาดขายส่งอาหารทะเลฮั่วนาน ซึ่งขายเนื้อสัตว์และสัตว์มีชีวิตหลายชนิด รวมถึงสัตว์ป่าด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ว่า มนุษย์ติดเชื้อมาจากสัตว์ชนิดใด

ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในจีนพบว่า 2019-nCoV มีรหัสพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับไวรัสโคโรน่าที่ก่อโรคซาร์สและโรคเมอร์ส ซึ่งมาจากค้างคาวมากที่สุด ขณะที่คณะนักวิจัยนานาชาติหลายคณะทำการวิเคราะห์สารพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่และข้อมูลชีวภาพที่เกี่ยวข้องพบว่า รหัสโปรตีนของ 2019-nCoV ของผู้ป่วยคล้ายคลึงกับรหัสโปรตีนของ 2019-nCoV ที่อยู่ในงูมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าการระบาดของโรคในครั้งนี้ มนุษย์ติดเชื้อมาจากงูในตลาด

อันตรายแค่ไหน น่ากลัวเท่าไหร่

สำหรับคำถามว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดอยู่ในตอนนี้อันตราย-รุนแรงแค่ไหน น่ากลัวมากหรือไม่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีสรุปฟันธงอย่างเป็นทางการ แต่มีข้อมูลที่สามารถนำมาพิจารณาได้ ดังนี้

1.แถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อ 23 มกราคมที่ผ่านมาที่มีข้อสรุปว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศให้สถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) แต่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

*อัพเดตวันที่ 30 มกราคม 2563 : WHO ได้ประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” แล้ว

2.อาการรุนแรงที่สุดที่พบ คือ อาการปอดอักเสบอันนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งข้อมูลที่มี ณ ตอนนี้ คือ มีอัตราเสียชีวิต 3% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด เทียบกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคซาร์ส 10% และอัตราการเสียชีวิตจากโรคเมอร์ส 30% อิงจากข้อมูลนี้ถือว่ารุนแรงน้อยกว่าโรคอื่นที่เกิดจากไวรัสตระกูลเดียวกันที่เคยระบาดมาก่อน

3.ในรายงานของ ScienceNews อ้างอิงการให้ข้อมูลของ ดร.แอนโทนี เฟาซี (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญท่านนี้นำข้อมูลอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 มาเปรียบเทียบกับซาร์สและเมอร์ส แล้วสรุปว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้รุนแรงน้อยกว่าซาร์สและเมอร์ส

4.ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญชาวไทยเอง ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันตามความแข็งแรงของแต่ละคน เด็กอายุน้อยและวัยรุ่นจะมีอาการน้อยกว่าผู้สูงอายุ ผู้ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดมีอายุมากกว่า 80 ส่วนเด็กหรือวัยกลางคนอาการจะน้อยแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย

“ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสตัวใหม่ ไม่เคยพบในมนุษย์มาก่อน เมื่อเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ขาดองค์ความรู้ของโรค ถ้ามองในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของโรคปอดบวมอู่ฮั่น ก็คงจะไม่เลวร้ายไปกว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในระยะแรกก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน หลังจากระบาดใหญ่ไวรัสตัวนี้ก็ประจำถิ่น เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไปเรียบร้อยแล้ว คนส่วนใหญ่เคยเป็นและมีภูมิอยู่บ้างแล้ว การระบาดใหญ่จึงลดลง ทุกวันนี้ก็ยังตรวจพบและมีการระบาดเป็นหย่อม”

จากข้อมูลหลายทาง อาจพอสรุปเบื้องต้นได้ว่า ฤทธิ์เดชความรุนแรงของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ณ เวลานี้ไม่รุนแรงนักหากเทียบกับโรคซาร์สและโรคเมอร์สที่เคยระบาดมาก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ควรนิ่งนอนใจเพียงเพราะความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตที่พบในปัจจุบันไม่สูงเท่าสองโรคที่นำมาเปรียบเทียบ เพราะอันที่จริงแล้ว ระดับความอันตรายของเชื้อไวรัสพิจารณาจากตัวเลข 2 ตัว ตัวแรก คือ ศักยภาพของไวรัสในการแพร่ระบาด คือ มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขนาดไหน อัตราการแพร่เชื้อมากเท่าไหร่ (1 คนแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้อีกกี่คน) และตัวที่สอง คือ อัตราการเสียชีวิตมากเท่าไหร่ ซึ่ง ณ ตอนนี้ตัวเลขยังไม่นิ่ง ถึงแม้ว่ามีตัวเลขอัตราการเสียชีวิตออกมาแล้ว แต่ตัวเลขนี้คำนวนจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบแล้วเท่านั้น ยังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ถูกตรวจพบและผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการอีก ไม่รู้ว่าเป็นจำนวนมากขนาดไหน

สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อไวรัสตัวนี้แพร่กระจายมาก ๆ แล้วมันอาจจะพัฒนาความรุนแรงขึ้น เนื่องจากไวรัสมีการพัฒนาเพิ่มศักยภาพของตัวมันเองอยู่ตลอด จึงต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดต่อไป

*อัพเดต วันที่ 1 กุมภาพันธ์ : ตัวเลขผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญเคยเปรียบเทียบในข้อ 2 และข้อ 3 ใช้อ้างอิงไม่ได้ในสถานการณ์ต่อจากนี้ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไปจาก ณ เวลานั้น ดังที่มีข้อมูลใหม่ ซึ่ง นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ว่า “ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพร่ระบาดได้เร็วกว่าเมอร์สและซาร์ส”

สรุปตามสถานการณ์คือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้เพิ่มศักยภาพขึ้น ตามที่เคยมีข้อกังวลและคาดการณ์ไว้

จะดูแลป้องกันตัวเองอย่างไรในสถานการณ์นี้

ภาพรวมของประเทศไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเป็นระดับ 3 เพื่อติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด มีระบบการเฝ้าระวังค้นหาผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่มการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาล และสนับสนุนการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือโรคติดต่ออุบัติใหม่ นอกจากนั้น ยังมีการยกระดับการแจ้งเตือนโรคในผู้เดินทางเป็นระดับ 3 ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด

ส่วนระดับรายย่อย ประชาชนสามารถดูแลตัวเอง ป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้

– โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ป้องกันได้โดยใช้หลักการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจ ได้แก่ ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ

-ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคำประกาศของทางการจีน

-ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนำควรสวมหน้ากากอนามัย

-หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี

-หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด

-ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ

-รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

-หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

-หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ ddc.moph.go.th/viralpneumonia และ Line@/เพจเฟซบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟซบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

นอกจากนั้น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณทุกครั้งในการรับข่าว โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของบัญชีผู้ใช้งานที่เผยแพร่ข่าวนั้น พิจารณาเนื้อหาข่าวอย่างละเอียดรอบคอบโดยเปรียบเทียบกับข่าวจากแหล่งอื่นที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบแหล่งข่าวที่ถูกอ้างถึง สอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจและสามารถยืนยันเนื้อหาที่ปรากฏในข่าวได้ ลดการรับข่าวที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ส่งต่อและไม่แชร์ข้อความที่ดูเกินจริงและไม่ได้รับการยืนยัน และควรติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากเกิดความเครียดหรือวิตกกังวลอย่างมาก สามารถโทร.ปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
อ้างอิง https://www.prachachat.net
                                         
พลูคาว (Plu Kaow) ชื่อ

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคปไซซิน" (Capsaicin) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว (คือส่วนเผ็ดมากที่สุด) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสารชนิดนี้จะทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก แม้จะนำมาต้มให้สุดหรือแช่แข็งก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเผ็ดไปแต่อย่างใด โดยเราสามารถเรียงลำดับความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู > พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริกหวาน เป็นต้น

หน่วยวัดความเผ็ดเดิมคือ สโควิลล์ (Scoville) (เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ สโควิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน) โดยพริกขี้หนูสวนบ้านเราจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าได้ถึง 350,000 สโควิลล์หรือมากกว่า

พริกอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ อย่าง วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินซี ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ใยอาหาร เป็นต้น โดยในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว !

หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกคุณควรรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าที่จะดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำจะมีผลเพียงแค่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดยังคงอยู่ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพริกเพราะอาจจะทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารได้ และสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่มักจะสำลักง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเช่นกัน และควรจะระวังพริกป่นตามร้านอาหาร พริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลาทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ดังนั้นควรเลือกรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อราและเปลี่ยนบ่อย ๆ ทุก ๆ 3 วันพร้อมทั้งการจัดเก็บในภาชนะที่แห้งและสะอาด




ประโยชน์ของพริก

พริกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
ช่วยให้อารมณ์ดี ทำให้ร่างกายสร้างสาร Endorphin (สารแห่งความสุข)
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น
สารแคปไซซินช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย
ช่วยในการดีท็อกซ์ของร่างกาย
พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ
ช่วยบรรเทาอาการไอ
ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้
ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง
ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน
ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยลดความดันโลหิต
ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด
ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
สาร Capsaicin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ
มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณจมูก ลำคอ ปอด เยื่อบุผนังช่องปาก
ช่วยไม่ให้เมือกเสีย ๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง อาการปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น
ใช้ในการประกอบอาหาร ปรุงแต่งอาหาร
นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
รวมไปถึงอาวุธป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทย (ไม่ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรง)
ในด้านการแพทย์แผนจีนนำสารนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง
ในด้านการแพทย์ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น
ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลต์ สลายไขมัน
อ้างอิง https://medthai.com

วชิกา ราคาเเพง

วชิกา ราคาเเพง

สถานที่

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Facebook

Facebook Wachika Rakapang

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ค้นหาบล็อกนี้

Popular Posts