วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563


               สรรพคุณ ประโยชน์ของชมพู่

สรรพคุณชมพู่
1 ชมพู่มีสรรพคุณเป็นยาลดน้ำหนักธรรมชาติ ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีมากๆ เพราะชมพู่นั้นเป็นผลไม้ที่ฉ่ำน้ำจึงทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว มีแคลอรีต่ำมาก หากใครที่อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารก็อย่าพลาดที่จะลิ้มลองชมพู่เป็นประจำ

2 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น จากที่เกริ่นไปแล้วในข้างต้นว่าชมพู่สดมีใยอาหารที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ จึงทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล ไม่มีปัญหามาให้กวนใจ

3 ชมพูมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการวิจัยพบว่าการกินชมพู่สดเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงโรคเกี่ยวกับหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง

4 ชมพู่มีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากอาการไข้และรักษาโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

5 ชมพู่มีไลโคพีน (Lycopiene) คือรงควัตถุสีแดงที่มีความสำคัญในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ไม่กี่ชนิดเท่านั้นนะ

6 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารได้

7 ชมพู่มีวิตามินเอก็ไม่น้อยเลย จึงช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับสายตาได้ดี และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายตาให้ดีขึ้น

8 ชมพูมีสรรพคุณลดไข้ แก้ท้องเสียได้ ตามตำรับยาแผนไทย หากนำชมพู่มาทำให้แห้งแล้วบดไว้เป็นยากินสำหรับใช้บำรุงร่างกายได้ ส่วนเมล็ดก็ใช้เป็นยาบรรเทาอาการท้องเสีย และใบก็ช่วยลดไข้ได้ด้วย

9 ชมพู่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่มีความสำคัญต่อการดูแลผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณกระชับเต่งตึง และรักษาบาดแผลตามร่างกาย

10 ชมพู่อุดมด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมมาเป็นตัวช่วย

11 ชมพู่สดยังมีสรรพคุณทางยา รวมทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลชมพู่ ที่จะช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย โดยเฉพาะช่วยบำรุงหัวใจได้มาก

12 ชมพู่มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความสดชื่น เพราะเนื้อชมพู่สดมีน้ำค่อนข้างมาก จึงช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง บำรุงให้ผิวสวยสดใส หรือจะนำมาปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่มก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ตลอดทั้งวัน และแก้กระหายน้ำได้ดี

คุณค่าทางโภชนาการต่างๆ ในเนื้อของชมพู่มีมากมาย ทั้งวิตามินหรือแร่ธาตุ อาทิ ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เรียกว่า...สรรพคุณและประโยชน์ของชมพู่นั้นเหมาะกับสาวๆ ที่อยากมีผิวพรรณสดใส หุ่นสวย ไม่ต้องอดอาหาร...โดยในการกินชมพู่หากมีรสไม่หวานมากสามารถกินได้ไม่เกิน 6 กิโลกรัม เพราะชมพู่ 1 กิโลกรัม จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ชมพู่จึงถือเป็นผลไม้มหัศจรรย์สำหรับทุกคนที่ไม่ว่าจะกินมากแค่ไหน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มขึ้นแน่นอน
 อ้างอิง https://sukkaphap-d.com

รูปสตรอเบอร์รี่
สรรพคุณของสตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย
ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย
มีส่วนช่วยบำรุงประสาทและสมอง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
ช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาด ปราศจากคราบไขมัน
ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งอย่างไนโตรซามีน (Nitrosamines) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพกทิน ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลได้
มีส่วนช่วยบำรุงโลหิต
ช่วยลดความดันโลหิต
มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์สมองพิการได้ (กรดโฟลิก)
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยปรับสมดุลของนัยน์ตาให้เป็นปกติ และป้องกันโรคต้อกระจก โรคตาบอดตอนกลางคืน การรับประทานสตรอเบอร์รี่เป็นประจำจึงช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง 50%
การดื่มน้ำสตรอเบอร์รี่จะช่วยบำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัดและภูมิแพ้
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
ช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
เป็นยาระบายอ่อน ๆ
ช่วยแก้อาการท้องร่วง (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลสดครั้งละ 5 ผล
มีส่วนช่วยรักษาโรคนิ่วในไต
ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
ช่วยแก้ปัญหาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติด้วยการใช้ใบและราก (โดยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ) ตากแห้ง นำมาชงกับน้ำเดือด แล้วดื่มแทนชา และใช้รากสตรอเบอร์รี่ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำเดือด 1 กาขนาดกลาง
ช่วยบรรเทาอาการของโรคตับอักเสบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา
ช่วยป้องกันโรคเกาต์
ช่วยแก้อาการเจ็บคอ รักษาแผลในช่องปาก (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
ใบสดนำมาโขลกแล้วนำไปประคบตามร่างกาย ช่วยลดอาการอักเสบบวมช้ำได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง https://medthai.com


อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แต่สำหรับบางคนแล้วกลับไม่ชอบรับประทานอะโวคาโดเอาเสียเลย เพราะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน และมีไขมันสูง ผลไม้ชนิดนี้จึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ว่าผลอะโวคาโดน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณครึ่งผล) จะมีไขมันสูงถึง 14.66 กรัม ! (ถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นจะมีไขมันน้อยมากหรือไม่มีไขมันเลย) แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการรับประทานอะโวคาโดไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอื่นในปริมาณเท่ากัน แถมการรับประทานอะโวคาโดยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย และไม่ทำให้อ้วน แถมยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย !

                                      
ประโยชน์ของอะโวคาโด
อะโวคาโดมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยได้ดีกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ จึงช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี
ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้
อะโวคาโดช่วยลดน้ำหนัก การรับประทานอะโวคาโดสามารถช่วยลดน้ำหนักตัวและลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL) ลงได้อย่างชัดเจน
อะโวคาโดเป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีคุณสมบัติในการช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือดได้ จึงช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวาย
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
ในผลอะโวคาโดมีวิตามินซีซึ่งช่วยป้องกันหวัดได้
อะโวคาโดมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการเกิดโรคปากนกกระจอก
อะโวคาโดมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
ไขมันในอะโวคาโดสามารถช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นตัวช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไลโคปีน เบตาแคโรทีน หรือลูทีนในผักผลไม้ต่าง ๆ
การรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความถี่ของการเกิดโรคเหน็บชาได้
อะโวคาโดมีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งเหมาะให้ลูกน้อยรับประทานเป็นอาหารเสริม แม้ว่าจะมีแคลอรีสูงแต่ก็อุดมไปด้วย DHA และไขมันดี (HDL) ในปริมาณที่สูงเช่นกัน
อะโวคาโดมีโฟเลตสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะจำเป็นสำหรับทารกในครรภ์
น้ำมันอะโวคาโดเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดหากเทียบกับน้ำมันอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด อัลมอนด์ หรือแม้กระทั่งน้ำมันมะกอก
น้ำมันอะโวคาโดสามารถนำมาใช้นวดศีรษะเพื่อช่วยเร่งการงอกของเส้นผมได้
อะโวคาโด ประโยชน์นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือรับประทานร่วมกับไอศกรีม นมข้นหวาน น้ำตาล เค้ก สลัด ฯลฯ
เนื้อของอะโวคาโดสามารถนำมาปรุงอาหารแทนเนยได้
สามารถนำมาสกัดน้ำมันทำเป็นเครื่องสำอางได้
อะโวคาโดสดสามารถใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะช่วยทำให้คุณมีผิวพรรณที่ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวาได้
อ้างอิง https://medthai.com

                                  
มะม่วงจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย และถือว่าเป็นผลไม้ประจำชาติของประเทศอินเดีย ในบ้านเรานั้นมะม่วงจัดเป็นผลไม้เศรษฐกิจซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 3 ของโลก

สำหรับพันธุ์มะม่วงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์มาก โดยสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดเห็นจะเป็นพันธุ์เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ อกร่อง ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรสชาติและลักษณะแตกต่างกันออกไป

ประโยชน์ของมะม่วงที่เราเห็นเป็นประจำก็คงจะไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก หรือมีการไปทำเป็นอาหารว่างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง พายมะม่วง และนำไปใช้ประกอบอาหาร เช่น ใส่น้ำพริก ยำ ส้มตำ ส่วนยอดอ่อนหรือผลอ่อนก็สามารถนำมาประกอบอาหารแทนผักได้ด้วย เป็นต้น

สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงนั้นจะมีแคลอรีสูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมันจากกะทิเป็นหลัก ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีสุขภาพดี การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือน้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเสียทีเดียว แต่การรับประทานก็ควรรับประทานอย่างระวัง และพิจารณารับประทานให้พอดีกับสุขภาพก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด
สรรพคุณของมะม่วง
รับประทานมะม่วงก็ช่วยทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน
มะม่วงมีวิตามินซีสูง จึงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
มะม่วงมีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบตาแคโรทีน
เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผ่อนคลายและหลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ รวมไปถึงต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ช่วยเยียวยาและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ใบมะม่วงประมาณ 15 ใบ นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาด 1 ถ้วย โดยใช้ไฟอ่อน ๆ นาน 1 ชั่วโมง ถ้าน้ำแห้งก็เติมเรื่อย ๆ เมื่อเสร็จแล้วนำมาตั้งทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืน พอเช้าก็นำมากรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยแก้โรคคอตีบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
แก้ซางตานขโมยในเด็ก ด้วยการใช้ใบมะม่วงพอประมาณนำมาต้มรับประทาน
ช่วยรักษาอาการเยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
เปลือกมะม่วงของผลดิบ นำมาคั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนและอาการปวดเมื่อยช่วงมีประจำเดือน
เปลือกต้นมะม่วง นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน
ไฟเบอร์จากมะม่วงเป็นตัวช่วยสำหรับการย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงาน
แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
ช่วยแก้อาการบิด ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
แก้อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม
มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ด้วยการรับประทานมะม่วงสุก
ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
น้ำต้มกับใบมะม่วงสดประมาณ 15 กรัม ใช้ล้างบาดแผลภายนอกได้
ใช้เป็นยาสมานแผลสด ด้วยการใช้ใบมะม่วงสดล้างให้สะอาดแล้วนำมาตำและพอกบริเวณที่เป็นแผล
อ้างอิง https://medthai.com

                                      
สำหรับสายพันธุ์ส้มนั้นมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกซื้อส้มให้มีรสชาติหวานอร่อยควรเลือกส้มที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เพราะจะให้น้ำเยอะ สำหรับส้มที่นิยมปลูกมากในบ้านเรานี้ก็ได้แก่ ส้มเกลี้ยง ส้มเขียวหวาน ส้มจุก ส้มตรา (ส้มเช้ง) และส้มโอ ส่วนชนิดของส้มนั้นก็ได้แก่
ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวาน เหมาะกับการคั้นกินสด ๆ มีเปลือกบางและคั้นดื่มง่าย
ส้มเกลี้ยง ถิ่นกำเนิดจากจีน เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่นิยมปลูกกันมากในไทย เหมาะแก่การใช้ทำบุญหรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ส้มเช้งหรือส้มตรา ส้มพื้นเมืองของชาวจีนและจัดว่าเป็นผลไม้มงคลในการประกอบพิธีต่าง ๆ ใช้กินสด ๆ หรือทำเป็นน้ำผลไม้
ส้มแก้ว ปลูกมากในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นส้มที่มีขนาดใหญ่รองจากส้มโอ นิยมใช้ทำน้ำส้มคั้น และเป็นผลไม้เซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ
ส้มจุก มีรสชาติหวานอ่อน ๆ เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ส้มจีน ผลไม้มงคลสำหรับคนจีน สีเหมือนทอง นิยมนำมาไหว้เจ้าหรือบรรพบุรุษ
ส้มจี๊ด ไม่นิยมนำมากินเพราะมีรสเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมนำมาอบแห้ง
ส้มโอ สามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิดทั้งคาวและหวาน
ส้มซันคิสต์ รสชาติเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม นิยมใช้เปลือกมาทำขนม เช่น แยม คุกกี้
เลมอน มีรสเปรี้ยวหวานนิด ๆ เป็นที่นิยมของต่างประเทศ
มะนาว ก็จัดอยู่ในตระกูลส้มเหมือนกันและจัดว่ามีรสเปรี้ยวมากที่สุด
มะกรูด นิยมนำกลิ่นหอมจากเปลือกมาใช้ในการปรุงอาหาร แต่น้ำมะกรูดก็นำมาใช้ทำยาสระผมได้เหมือนกัน
สรรพคุณของส้ม
ส้มมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยในการชะลอวัย
ส้มมีคุณสมบัติในการช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
ส้มช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน
ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก เพราะส้มมีวิตามินซี
ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ด้วยแคลเซียมและวิตามินดีจากส้ม
การกินส้มก็ช่วยลดสภาวะความเครียดได้เหมือนกันนะ
ส้มช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยในการขับถ่าย เพราะส้มมีกากใยสูง
ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และที่กระเพาะ
ช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตหากกินผลไม้ตระกูลส้มเป็นประจำ
สารฟลาโวนอยด์ในส้มจะช่วยป้องกันการอักเสบและเลือดจับตัวกันเป็นก้อน
ในส้มมีสารเบตาแคโรทีนที่ช่วยชะลอความเสื่อมเส้นผม เล็บ และผิวของคุณ และช่วยให้ผนังหลอดเลือด เส้นเลือดฝอยแข็งแรง
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายของเรา
ช่วยในการสมานแผลต่าง ๆ เช่น แผลไฟไหม้หรือแผลหลังผ่าตัดให้หายดียิ่งขึ้น
เปลือกส้มจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
เปลือกส้มมีสารช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกรองสารพิษในตับได้ด้วย
เปลือกส้มมีฤทธิ์ในการช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
อ้างอิง https://medthai.com

โคโรน่า

สถานการณ์ทั่วโลก ณ วันพุธ ที่ 29 มกราคม 2563 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) นับถึงวันอังคารที่ 28 มกราคม ภายในประเทศจีนมีผู้ป่วยจำนวน 5,974 ราย ราย เป็นผู้ป่วยอาการรุนแรงขั้นวิกฤต 1,239 ราย จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 132 ราย ส่วนนอกจีนแผ่นดินใหญ่พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในฮ่องกง 8 ราย, มาเก๊า 7 ราย, ไต้หวัน 8 ราย, ไทย 14 ราย และอีกหลายประเทศ

ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้มาก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเป็นประเทศที่มีเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่นมาลงมากที่สุดเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลก สนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินปลายทางที่รับผู้โดยสารจากอู่ฮั่นมากกว่าสนามบินอื่นในโลก ขณะที่สนามบินดอนเมืองและภูเก็ตก็ติดอยู่ในท็อป 10 ด้วย ในทางกลับกัน ชาวไทยก็เดินทางไปประเทศจีนมากเช่นกัน

การเกิดโรคระบาดเป็นสถานการณ์ที่เราควรตระหนัก ป้องกัน และรับมืออย่างรู้เท่าทัน แต่ด้วยข้อมูลมากมายที่ถูกนำเสนอออกมาถี่ ๆ มีทั้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ ไปจนถึงข่าวปลอม ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวไปจนถึงขั้นตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ รวมถึงตัวผู้เขียนเองที่ติดตามข่าวแล้วเห็นภาพในภาพยนตร์ซอมบี้ ทั้งที่สถานการณ์จริงไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนั้น นี่ก็เป็นสัญญาณที่เตือนให้รู้ตัวว่าเราตระหนกเกินไปแล้วแน่ ๆ ซึ่งการตระหนักมากเกินไปจนกลายเป็นตระหนกก็ไม่เกิดประโยชน์หรือผลดีแต่อย่างใด ดังนั้น “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” จึงรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือมานำเสนอเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในสถานการณ์นี้

รู้จักไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์เก่า-สายพันธุ์ใหม่

ข้อมูลพื้นฐาน 9 ข้อต่อไปนี้ ซึ่งอ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางน่าจะทำให้รู้จักไวรัสโคโรน่าและเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้มากขึ้น

1.ไวรัสโคโรน่า (Coronavirus) เป็นชื่อไวรัสตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยตั้งแต่โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่รุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) และโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ก่อนหน้านี้พบเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์


2.ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (Novel Coronavirus 2019) ที่ระบาดอยู่ตอนนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า 2019-nCoV พบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 และระบาดต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์

3.ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์เป็น zoonotic infection คือไวรัสที่ติดเชื้อทั้งในสัตว์และคน ก่อนหน้านี้พบการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าจากสัตว์สู่คน เช่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) แพร่เชื้อจากชะมดสู่มนุษย์ในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ. 2545 และไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคเมอร์ส (MERS) แพร่เชื้อจากอูฐสู่มนุษย์ในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี พ.ศ. 2555 นอกจากนั้น มีไวรัสโคโรน่าอีกหลายตัวที่ระบาดในสัตว์แต่ยังไม่ติดต่อสู่คน

4.ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์ติดต่อจากคนสู่คนหลังจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่างสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส โรคเมอร์ส และสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ระบาดอยู่ตอนนี้

5.ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไม่แพร่กระจายทางอากาศ การเดินสวนกันหรืออยู่ในสถานที่เดียวกันไม่ทำให้ติดเชื้อ แต่การสัมผัสระยะใกล้ การอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอ จาม แล้วมีฝอยละอองหรือมีน้ำมูกกระเด็นมาโดนจะทำให้ติดเชื้อได้

6.อาการของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าขึ้นอยู่กับไวรัสแต่ละสายพันธุ์ อาการที่พบบ่อยทั่วไป คือ อาการทางระบบหายใจ อย่างมีไข้ ไอ หายใจถี่ และหายใจลำบาก ในเคสที่รุนแรงอาจทำให้เกิดโรคปอดบวม โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ไตวาย และรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต

7.เนื่องจาก 2019-nCoV เพิ่งพบการระบาดในมนุษย์จึงยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ส่วนการพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ก็ต้องใช้เวลาหลายปี

8.การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังไม่มียาและวิธีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง วิธีการรักษาที่ทำอยู่ในตอนนี้ คือ รักษาตามอาการหรือเงื่อนไขทางเทคนิคของผู้ป่วยรายนั้น ๆ ซึ่งการรักษาประคับประคองตามอาการก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาผู้ป่วยหายแล้วจำนวนมาก

9.ไวรัสโคโรน่าเป็นเชื้อโรคที่กลายพันธุ์ง่าย เพราะมีโครงสร้างไม่ซับซ้อน คือมีสารพันธุกรรมประเภท RNA สายเดียว จึงเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ง่าย ส่งผลให้รับมือเชื้อยาก เพราะเชื้อโรคจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลาPhoto by Getty Images
                          โคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ อันตรายแค่ไหน เรากลัวมากไปหรือกำลังพอดี?

จากไวรัสในสัตว์สู่เชื้อโรคติดต่อในคน

โดยทั่วไปแล้วไวรัสโคโรน่าเป็นไวรัสที่ติดต่อระบาดกันในสัตว์ แต่บางสายพันธุ์สามารถติดต่อและก่อโรคในมนุษย์ได้

การระบาดก่อโรคของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในมนุษย์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ ประเทศจีน พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงมีการรายงานต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าพบผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวนมากที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่เคยพบการติดเชื้อในมนุษย์มาก่อน

ต่อมาในวันที่ 7 มกราคม 2563 ทางการจีนรายงานว่าสามารถระบุได้ว่าไวรัสตัวใหม่นี้ คือ ไวรัสโคโรน่า ซึ่งเป็นตระกูลของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคซาร์สและเมอร์สที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไวรัสตัวใหม่นี้มีชื่อชั่วคราวว่า “2019-nCoV” หรือ “Novel Coronavirus 2019” ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2563 จีนเผยแพร่ genome ของเชื้อ Novel Coronavirus 2019 ลงในธนาคารรหัสพันธุกรรมโลก (GenBank) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลพันธุกรรมที่นักวิจัยรวมถึงบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ได้

จีนสืบสวนหาแหล่งแพร่เชื้อที่เมืองอู่ฮั่น โดยเริ่มจากเบาะแสที่ว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกที่เป็นคนงานและลูกค้าของตลาดขายส่งอาหารทะเลฮั่วนาน ซึ่งขายเนื้อสัตว์และสัตว์มีชีวิตหลายชนิด รวมถึงสัตว์ป่าด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ว่า มนุษย์ติดเชื้อมาจากสัตว์ชนิดใด

ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในจีนพบว่า 2019-nCoV มีรหัสพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับไวรัสโคโรน่าที่ก่อโรคซาร์สและโรคเมอร์ส ซึ่งมาจากค้างคาวมากที่สุด ขณะที่คณะนักวิจัยนานาชาติหลายคณะทำการวิเคราะห์สารพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่และข้อมูลชีวภาพที่เกี่ยวข้องพบว่า รหัสโปรตีนของ 2019-nCoV ของผู้ป่วยคล้ายคลึงกับรหัสโปรตีนของ 2019-nCoV ที่อยู่ในงูมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าการระบาดของโรคในครั้งนี้ มนุษย์ติดเชื้อมาจากงูในตลาด

อันตรายแค่ไหน น่ากลัวเท่าไหร่

สำหรับคำถามว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดอยู่ในตอนนี้อันตราย-รุนแรงแค่ไหน น่ากลัวมากหรือไม่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีสรุปฟันธงอย่างเป็นทางการ แต่มีข้อมูลที่สามารถนำมาพิจารณาได้ ดังนี้

1.แถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อ 23 มกราคมที่ผ่านมาที่มีข้อสรุปว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศให้สถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) แต่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

*อัพเดตวันที่ 30 มกราคม 2563 : WHO ได้ประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” แล้ว

2.อาการรุนแรงที่สุดที่พบ คือ อาการปอดอักเสบอันนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งข้อมูลที่มี ณ ตอนนี้ คือ มีอัตราเสียชีวิต 3% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด เทียบกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคซาร์ส 10% และอัตราการเสียชีวิตจากโรคเมอร์ส 30% อิงจากข้อมูลนี้ถือว่ารุนแรงน้อยกว่าโรคอื่นที่เกิดจากไวรัสตระกูลเดียวกันที่เคยระบาดมาก่อน

3.ในรายงานของ ScienceNews อ้างอิงการให้ข้อมูลของ ดร.แอนโทนี เฟาซี (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญท่านนี้นำข้อมูลอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 มาเปรียบเทียบกับซาร์สและเมอร์ส แล้วสรุปว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้รุนแรงน้อยกว่าซาร์สและเมอร์ส

4.ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญชาวไทยเอง ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันตามความแข็งแรงของแต่ละคน เด็กอายุน้อยและวัยรุ่นจะมีอาการน้อยกว่าผู้สูงอายุ ผู้ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดมีอายุมากกว่า 80 ส่วนเด็กหรือวัยกลางคนอาการจะน้อยแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย

“ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสตัวใหม่ ไม่เคยพบในมนุษย์มาก่อน เมื่อเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ขาดองค์ความรู้ของโรค ถ้ามองในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของโรคปอดบวมอู่ฮั่น ก็คงจะไม่เลวร้ายไปกว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในระยะแรกก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน หลังจากระบาดใหญ่ไวรัสตัวนี้ก็ประจำถิ่น เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไปเรียบร้อยแล้ว คนส่วนใหญ่เคยเป็นและมีภูมิอยู่บ้างแล้ว การระบาดใหญ่จึงลดลง ทุกวันนี้ก็ยังตรวจพบและมีการระบาดเป็นหย่อม”

จากข้อมูลหลายทาง อาจพอสรุปเบื้องต้นได้ว่า ฤทธิ์เดชความรุนแรงของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ณ เวลานี้ไม่รุนแรงนักหากเทียบกับโรคซาร์สและโรคเมอร์สที่เคยระบาดมาก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ควรนิ่งนอนใจเพียงเพราะความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตที่พบในปัจจุบันไม่สูงเท่าสองโรคที่นำมาเปรียบเทียบ เพราะอันที่จริงแล้ว ระดับความอันตรายของเชื้อไวรัสพิจารณาจากตัวเลข 2 ตัว ตัวแรก คือ ศักยภาพของไวรัสในการแพร่ระบาด คือ มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขนาดไหน อัตราการแพร่เชื้อมากเท่าไหร่ (1 คนแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้อีกกี่คน) และตัวที่สอง คือ อัตราการเสียชีวิตมากเท่าไหร่ ซึ่ง ณ ตอนนี้ตัวเลขยังไม่นิ่ง ถึงแม้ว่ามีตัวเลขอัตราการเสียชีวิตออกมาแล้ว แต่ตัวเลขนี้คำนวนจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบแล้วเท่านั้น ยังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ถูกตรวจพบและผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการอีก ไม่รู้ว่าเป็นจำนวนมากขนาดไหน

สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อไวรัสตัวนี้แพร่กระจายมาก ๆ แล้วมันอาจจะพัฒนาความรุนแรงขึ้น เนื่องจากไวรัสมีการพัฒนาเพิ่มศักยภาพของตัวมันเองอยู่ตลอด จึงต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดต่อไป

*อัพเดต วันที่ 1 กุมภาพันธ์ : ตัวเลขผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญเคยเปรียบเทียบในข้อ 2 และข้อ 3 ใช้อ้างอิงไม่ได้ในสถานการณ์ต่อจากนี้ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไปจาก ณ เวลานั้น ดังที่มีข้อมูลใหม่ ซึ่ง นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ว่า “ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพร่ระบาดได้เร็วกว่าเมอร์สและซาร์ส”

สรุปตามสถานการณ์คือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้เพิ่มศักยภาพขึ้น ตามที่เคยมีข้อกังวลและคาดการณ์ไว้

จะดูแลป้องกันตัวเองอย่างไรในสถานการณ์นี้

ภาพรวมของประเทศไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเป็นระดับ 3 เพื่อติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด มีระบบการเฝ้าระวังค้นหาผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่มการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาล และสนับสนุนการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือโรคติดต่ออุบัติใหม่ นอกจากนั้น ยังมีการยกระดับการแจ้งเตือนโรคในผู้เดินทางเป็นระดับ 3 ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด

ส่วนระดับรายย่อย ประชาชนสามารถดูแลตัวเอง ป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้

– โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ป้องกันได้โดยใช้หลักการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจ ได้แก่ ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ

-ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคำประกาศของทางการจีน

-ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนำควรสวมหน้ากากอนามัย

-หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี

-หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด

-ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ

-รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

-หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

-หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ ddc.moph.go.th/viralpneumonia และ Line@/เพจเฟซบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟซบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

นอกจากนั้น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณทุกครั้งในการรับข่าว โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของบัญชีผู้ใช้งานที่เผยแพร่ข่าวนั้น พิจารณาเนื้อหาข่าวอย่างละเอียดรอบคอบโดยเปรียบเทียบกับข่าวจากแหล่งอื่นที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบแหล่งข่าวที่ถูกอ้างถึง สอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจและสามารถยืนยันเนื้อหาที่ปรากฏในข่าวได้ ลดการรับข่าวที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ส่งต่อและไม่แชร์ข้อความที่ดูเกินจริงและไม่ได้รับการยืนยัน และควรติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากเกิดความเครียดหรือวิตกกังวลอย่างมาก สามารถโทร.ปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
อ้างอิง https://www.prachachat.net
                                         
พลูคาว (Plu Kaow) ชื่อ

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคปไซซิน" (Capsaicin) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว (คือส่วนเผ็ดมากที่สุด) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสารชนิดนี้จะทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก แม้จะนำมาต้มให้สุดหรือแช่แข็งก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเผ็ดไปแต่อย่างใด โดยเราสามารถเรียงลำดับความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู > พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริกหวาน เป็นต้น

หน่วยวัดความเผ็ดเดิมคือ สโควิลล์ (Scoville) (เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ สโควิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน) โดยพริกขี้หนูสวนบ้านเราจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าได้ถึง 350,000 สโควิลล์หรือมากกว่า

พริกอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ อย่าง วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินซี ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ใยอาหาร เป็นต้น โดยในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว !

หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกคุณควรรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าที่จะดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำจะมีผลเพียงแค่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดยังคงอยู่ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพริกเพราะอาจจะทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารได้ และสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่มักจะสำลักง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเช่นกัน และควรจะระวังพริกป่นตามร้านอาหาร พริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลาทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ดังนั้นควรเลือกรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อราและเปลี่ยนบ่อย ๆ ทุก ๆ 3 วันพร้อมทั้งการจัดเก็บในภาชนะที่แห้งและสะอาด




ประโยชน์ของพริก

พริกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
ช่วยให้อารมณ์ดี ทำให้ร่างกายสร้างสาร Endorphin (สารแห่งความสุข)
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น
สารแคปไซซินช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย
ช่วยในการดีท็อกซ์ของร่างกาย
พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ
ช่วยบรรเทาอาการไอ
ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้
ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง
ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน
ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยลดความดันโลหิต
ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด
ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
สาร Capsaicin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ
มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณจมูก ลำคอ ปอด เยื่อบุผนังช่องปาก
ช่วยไม่ให้เมือกเสีย ๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง อาการปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น
ใช้ในการประกอบอาหาร ปรุงแต่งอาหาร
นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
รวมไปถึงอาวุธป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทย (ไม่ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรง)
ในด้านการแพทย์แผนจีนนำสารนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง
ในด้านการแพทย์ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น
ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลต์ สลายไขมัน
อ้างอิง https://medthai.com

                                    
หลายคนสงสัยว่า แล้วคำว่า Lemon ที่ในบ้านเราเข้าใจว่ามันคือมะนาว แล้วตกลงมันคืออะไร จริง ๆ แล้วเลมอน (Lemon) ความหมายที่ถูกต้องของมันก็คือ ผลส้มชนิดหนึ่งที่มีหัวท้ายมนหรือมะนาวที่มีผลเป็นลูกออกสีเหลืองใหญ่ ไม่ใช่ผลกลม ๆ สีเขียวลูกเล็ก ๆ อย่างมะนาวที่เราคุ้นเคย

การปลูกมะนาว เดิมแล้วมะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนี้จีงรู้จักการใช้ประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยนี่เอง เรามาดูประโยชน์และสรรพคุณของมะนาวกันดีกว่า
สรรพคุณของมะนาว
ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
ช่วยแก้อาเจียน เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ
รู้หรือไม่ว่ามะนาวก็เป็นยาอายุวัฒนะและช่วยในการเจริญอาหารได้ด้วย
แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร
แก้อาการลมเงียบ ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม
แก้โรคตาแดง
ใช้เป็นยาแก้ไข้ก็ได้เหมือกัน ด้วยการนำใบมาหั่นเป็นฝอย ๆ แล้วนำมาชงในน้ำเดือด ดื่มเป็นน้ำชาหรือใช้อมกลั้วคอเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค
ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู ด้วยการเอาใบมะนาวประมาณ 100 ใบมาต้มกิน
สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก
มะนาวช่วยในการขับเสมหะ
ช่วยแก้ไอหรืออาการไอที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่ง
ช่วยบรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ
ช่วยบรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง
ช่วยลดอาการเหงือกบวม
ใช้เป็นยาบ้วนปาก ด้วยการใช้น้ำมะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้น
ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
ช่วยในการขจัดคราบบุหรี่
แก้เล็บขบ ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบาง ๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป
ก้างติดคอ ให้นำน้ํามะนาว 1 ลูกมาคั้นแล้วเติมเกลือ ใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้วกรอกลงไปให้ตรงกับบริเวณที่ก้างติดคอ อมไว้สักครู่แล้วค่อย ๆ กลืน ก้างปลาจะอ่อนตัวลงแล้วหลุดลงไปในกระเพาะ
ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล
แก้อาการท้องร่วงด้วยการดื่มน้ำมะนาว
ช่วยการขับพยาธิไส้เดือนด้วยการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว
ช่วยรักษาอาการท้องผูกด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อยก็เป็นยาระบายชั้นดี
ช่วยรักษาโรคกระเพาะด้วยการนำเปลือกมะนาวมาชงกับน้ำอุ่นและดื่มเป็นยา
แก้อาการบิดด้วยการใช้มะนาวกับน้ำผึ้งอย่างละเท่า ๆ กัน แล้วนำมาดื่ม
แก้อาการปัสสาวะกะปริดกะปรอย ด้วยการใช้ใบนะนาวสดต้มกับน้ำตาลแดงแล้วนำมาดื่ม
สรรพคุณของมะนาวก็ช่วยรักษาโรคนิ่วได้เหมือนกัน
แก้อาการระดูขาวด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือกับน้ำตาลนิดหน่อย
แก้ผิดสำแดง นำรากมะนาวมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมารับประทาน
ช่วยฟอกโลหิตด้วยการนำใบมะนาวต้มผสมกับน้ำแล้วนำมาดื่มเป็นประจำ
ช่วยบำรุงโลหิต รักษาโรคโลหิตจาง ด้วยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็งนำมาดื่ม
แก้โรคเหน็บชา ร้อนใน กระหายน้ำด้วยการดื่มน้ำมะนาว
ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาล
การดื่มน้ำมะนาวจะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้อีกด้วย
รักษาโรคผิวหนังด้วยการนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เป็น
บรรเทาอาการคันบริเวณผิวหนัง
แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าวเป็นประจำก่อนเข้านอนและหลังตื่นนอน
แก้ปัญหา กาก เกลื้อน หิด ด้วยการนำกำมะถันมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าวหลังอาบน้ำ
แก้หูดด้วยการใช้เปลือกมะนาวนำมาหมักกับน้ำส้มสายชูประมาณ 2 วันแล้วนำเปลือกมาปิดทับบริเวณที่เป็นหูด
แก้ฝีและอาการปวดฝี โดยใช้รากมะนาวสดมาฝนกับเหล้าและนำมาทา ขูดเอาผิวมะนาวผสมกับปูนแดงปิดไว้
แก้ฝีมะตอยด้วยการนำมะนาวทั้งลูกมาคว้านไส้ด้านในออกให้พอเอานิ้วแหย่เข้าไปได้ แล้วนำปูนกินหมากทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมนิ้วเข้าไป
รักษาโรคน้ำกัดเท้าหรือปูนซีเมนต์กัดเท้าด้วยการใช้น้ำมะนาวทาบริเวณดังกล่าว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก
แก้ผิวหนังฟกช้ำ หัวโน อาการปวดบวม ปูดแดง ด้วยการนำน้ำมะนาวกับดินสอพองมาผสมให้เข้ากัน แล้วทาบริเวณดังกล่าววันละ 1-2 ครั้ง
แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก พุพองแสบร้อน ด้วยการใช้น้ำมะนาวชโลมบริเวณดังกล่าว
แก้แผลบาดทะยักด้วยการใช้น้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เกิดบาดแผล
ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นด้วยการใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองให้เข้ากัน แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นรอยแผล
ช่วยบรรเทาอาการคันหนังศีรษะ ด้วยการใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วแล้วค่อยสระผม
น้ำมะนาวช่วยดับกลิ่นเต่าหรือกลิ่นกายได้เหมือนกัน โดยนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณรักแร้
แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยและช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
แก้พิษจากการโดนงูกัด
ป้องกันภัยจากงูด้วยการใช้เปลือกวางไว้บริเวณใกล้ที่นอน ๆ งูจะไม่มารบกวนเพราะได้กลิ่นมะนาว
แก้แมงคาเรืองเข้าหู ด้วยการใช้น้ำมะนาวหยอดหู
หุงข้าวให้ขาวและอร่อยขึ้น ด้วยการใช้น้ำมะนาวประมาณ 2-3 ช้อนนำไปซาวข้าว
ทอดไข่ให้ฟูและนิ่ม มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้
มะนาวช่วยลดกลิ่นคาวจากปลาเมื่อทำอาหารและทำให้ปลาคงรูปไม่เละ
สำหรับแม่ครัวที่หั่นหรือเด็ดผักเป็นประจำ จะทำให้เล็บมือเป็นสีดำ นำมะนาวมาถูจะช่วยปัญหาดังกล่าวได้
หากใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะมีสีม่วงคล่ำ ล้างออกลำบาก นำมานาวที่ผ่าแล้วมาถูตามใบมีด จะช่วยให้มีดของคุณสะอาดดังเดิม
การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งซีกลงไป จะช่วยให้กล้วยใส น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
มะนาว 2-3 ลูกใส่ไว้ในถังข้าวสารช่วยป้องกันมอดได้
เปลือกมะนาวสามารถนำมาเช็ดภาชนะให้เงางามขึ้นได้ เช่น เครื่องเงิน ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น
อ้างอิง https://medthai.com

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง (Honey) คือผลผลิตของน้ำหวานจากดอกไม้และจากแหล่งอื่น ๆ ที่ผึ้งงานนำมาเก็บสะสมไว้ โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีแล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง ซึ่งปกติแล้วน้ำผึ้งจะมีกลิ่น รส สี ที่ต่างกันออกไปตามชนิดของพืชนั้น ๆ จึงทำให้สามารถระบุชนิดของน้ำผึ้งตามชนิดของพืชนั้นได้ ๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกส้ม ดอกลำไย ดอกลิ้นจี่ ก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งนิยมนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารหรือเครื่องดื่มนานาชนิด น้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรักโทสกับกลูโคส และมีวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุทองแดง ธาตุสังกะสี เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ
พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งช่วยบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่น และนุ่มนวล หลังล้างหน้าเสร็จให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
ช่วยบำรุงรักษาผิวหน้าที่แห้งแตกลอกเป็นขุย ด้วยการนำไข่แดง 1 ฟองผสมกับน้ำผึ้งผสม 1 ช้อน คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง
ช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มสวยเงางาม หลังสระผมเสร็จให้นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก
ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ
ช่วยลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเสร็จแล้วให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
นิยมนำมาใช้ผสมในเครื่องต่าง ๆ เช่น นม ชา กาแฟ โยเกิร์ต น้ำมะนาว หรือแม้กระทั่งเบียร์หรือไวน์
นำมาใช้เป็นส่วนผสมในขนมหวานต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์ธัญพืชต่าง ๆ
ใช้น้ำผึ้งแทนสารกันบูดในน้ำสลัด ซึ่งจะทำให้น้ำสลัดไม่เสียและเก็บได้นานถึง 9 เดือน
น้ำผึ้งสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาส์กหน้า สบู่ เจลล้างหน้า สครับ เป็นต้น
น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ
ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ดี
ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำงานหรือเล่นกีฬา
ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยในระยะพักฟื้น หรือผู้สูงอายุ
ช่วยบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน
ช่วยบำรุงเลือดในร่างกาย ด้วยการใช้น้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว แล้วบีบมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วเติมน้ำร้อนดื่ม
ช่วยรักษาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น
น้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดในเด็กได้ดีกว่ายาแก้ไอ
ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่
น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยาระงับประสาทอ่อน ๆ จึงช่วยลดอาการหงุดหงิด ความกังวลได้
ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับและช่วยทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้น้ำผึ้งและงาดำอย่างละ 50 กรัม โดยนำงาดำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่ม
ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้สาลี่หอมจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม โดยปอกลูกสาลี่แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว แล้วนำมาผสมกับน้ำกิน
ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของธาตุเหล็กซึ่งช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดง
ช่วยบำรุงหัวใจ ขับชีพจร และป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
ช่วยบำรุงและรักษาโรคตับ
ช่วยระงับความร้อนในร่างกาย
ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น
ช่วยบรรเทาอาการไอ หลอดลมอักเสบ มีเสมหะ ด้วยการชงดื่มกับน้ำมะนาว
น้ำผึ้งช่วยลดกรดในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะน้ำผึ้งจะถูกดูดซึมทันทีเมื่อถึงลำไส้ ซึ่งต่างจากน้ำตาลชนิดอื่น
ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียอย่างรุนแรง
ช่วยแก้อาการท้องเดินและช่วยบำรุงลำไส้ที่อักเสบให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา (Candida) ได้ดีพอ ๆ กับยาฆ่าเชื้อแผนปัจจุบัน
ช่วยแก้อาการเด็กปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ เพราะช่วยดูดความชื้นและช่วยอุ้มน้ำไว้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการนำกระเทียมผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 3 ครั้ง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ ด้วยการใช้น้ำส้มนำมาผสมกับแอปเปิลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน แล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละสองครั้ง
ช่วยแก้อาการตะคริวหรือป้องกันการเป็นตะคริว
ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มกับน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกลงได้
ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล
ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว
ช่วยรักษาโรคฮ่องกงฟุตและกลากเกลื้อน
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์
ช่วยแก้ปัญหาเด็กแหวะนม โดยใช้น้ำผึ้งผสมกับนมดื่ม
ใช้เป็นน้ำกระสายยา

อ้างอิง https://medthai.com

สรรพคุณขององุ่น
ผลมีรสหวาน เปรี้ยวเล็กน้อย เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อปอ ม้าม และไต ใช้เป็นบำรุงโลหิต
ผลมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง ให้ใช้ผลองุ่นแห้งและโสม อย่างละ 3 กรัม นำมาแช่ในเหล้าประมาณ 1 คืน แล้วนำมาทาบริเวณฝ่ามือและแผ่นหลัง
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยลดไขมันในเลือด ด้วยการใช้เมล็ดองุ่นนำมาบดให้เป็นผงแห้ง บรรจุแคปซูลกิน 1-2 เม็ด เช้าและเย็น
ผลมีสรรพคุณช่วยต้านมะเร็ง
ผลนำมาคั้นเอาน้ำรับประทาน จะช่วยแก้อาการหงุดหงิดได้
ช่วยแก้หัวใจเต้นผิดปกติ แก้เหงื่อออกไม่รู้ตัว เหงื่อออกเนื่องจากหัวใจไม่ปกติ
ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้เลือดน้อย โลหิตจาง
เถาและใบมีรสชุ่มฝาด สุขุม มีสรรพคุณเป็นยาแก้ตาแดง
ช่วยแก้อาการไอ ไอเรื้อรัง

ใช้รักษาอาการอาเจียนเป็นเลือด ด้วยการใช้รากองุ่นสด รากหญ้าคา รากไวเช่า รากบัวหลวง ใบสนแผง (สนหางสิงห์) และดอกแต้ฮวย อย่างละ 15 กรัม และเนื้อสัตว์นำมาต้มกับน้ำกิน
ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำรับประทานแก้กระหายน้ำ หรือใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ แล้วใช้ภาชนะที่ปั้นด้วยดินเผา เคี่ยวผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย เก็บไว้กินทีละน้อย
น้ำมันที่ได้จากเมล็ดเมื่อนำมากินก่อนหรือพร้อมอาหาร จะสามารถลดกรดที่มีมากเกินไปในกระเพาะอาหารได้
น้ำมันจากเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
องุ่นแห้งมีสรรรพคุณช่วยหล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ
ใบใช้เป็นยารักษาบิดในวัวควาย
ช่วยบำรุงครรภ์ ครรภ์รักษา
ราก เถา และใบ มีรสชุ่ม ฝาด เป็นยาสุขุม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด  ส่วนผลก็มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะเช่นกัน
ผลมีสรรพคุณแก้ปัสสาวะขัด เจ็บ มีเลือดออก ด้วยการใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ และน้ำต้มรากบัวหลวง น้ำต้มจากโกฐขี้เถ้า น้ำผึ้ง นำไปต้มกินครั้งละ 2 ถ้วยชา
ผลมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหนองใน ให้ใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ และน้ำต้มรากบัวหลวง น้ำต้มจากโกฐขี้เถ้า น้ำผึ้ง นำไปต้มกินครั้งละ 2 ถ้วยชา
ผลองุ่นมีสรรพคุณช่วยบำรุงไต
ช่วยขับลมชื้นในร่างกาย แก้บวมน้ำ  แก้ตัวบวมน้ำ
ช่วยขับน้ำดี
องุ่นที่ไม่แก่จัดใช้กินวันละประมาณ 1.4-2.7 กิโลกรัม เป็นยารักษาอาการตับและดีเสื่อมสมรรถภาพหรือทำงานไม่ดี
ใบใช้เป็นยาห้ามเลือดในริดสีดวงทวาร และบาดแผลสด
ใบและเถามีฤทธิ์ยาสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น (แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค)
ราก เถา และใบ ใช้ภายนอกเป็นยารักษาฝีหนองอักเสบ แผลบวมเป็นหนอง
รากสดใช้ตำพอกแก้อาการฟกช้ำได้
ช่วยบำรุงเส้นเอ็นและกระดูก
ช่วยแก้อาการปวดหลัง ให้ใช้ผลองุ่นแห้งและโสม อย่างละ 3 กรัม นำมาแช่ในเหล้าประมาณ 1 คืน แล้วนำมาทาบริเวณฝ่ามือและแผ่นหลัง จะช่วยแก้อาการปวดหลังได้
รากและผลมีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดข้อ  ใช้แก้อาการปวดตามข้อให้ใช้รากสดประมาณ 60-90 กรัม และขาหมูตามบริเวณเล็บ 1 ขา หรือปลาหลีอื้อประมาณ 1-2 ตัว ใส่น้ำพอสมควร ต้มหรือใส่น้ำและเหล้าอย่างละเท่ากัน แล้วนำไปตุ๋นกิน  ใช้แก้อาการปวดข้อเนื่องจากลมชื้นเข้าข้อกระดูก ด้วยการใช้รากองุ่น 100 กรัม, คากิ 1 อัน นำมาตุ๋นกับเหล้าและน้ำอย่างละ 1 ส่วน แล้วนำมารับประทาน
ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก กระดูกร้าว กระดูกหัก ด้วยการใช้รากองุ่นสดนำมาตำแล้วพอก หรือจะนำมาตำแล้วนำมาคั่วกับเหล้าใช้พอกบริเวณที่เป็นก็ได้
ผลมีสรรพคุณช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง 
องุ่นแดง

อ้างอิง https://medthai.com
ดิน หมายถึง วัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการสลายตัวทางกายภาพ และทางเคมีของหินและแร่ รวมกับสารอินทรีย์ ที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์เป็นผิวชั้นบนที่ห่อหุ้มโลก ซึ่งดินจะมีลักษณะและคุณสมบัติต่างกันไปในที่ต่างๆ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัตถุต้นกำเนิด สิ่งมีชีวิตและระยะเวลาการสร้างตัวของดิน ประโยชน์และความสำคัญของดิน 1.ดินทำหน้าที่เป็นที่ให้รากพืชได้เกาะยึดเหนี่ยวเพื่อให้ลำต้นของพืชยืนต้นได้อย่างมั่นคง แข็งแรง ขณะที่พืชเจริญเติบโตรากของพืชจะเติบโตชอนไชหยั่งลึกแพร่กระจายลงไปในดินอย่างกว้างขวางทั้งแนวลึกและแนวราบ ดินที่ร่วนซุยและมีชั้นดินลึก รากพืชจะเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถเกาะยึดดิน ต้านทานต่อลมพายุไม่ทำให้ต้นพืชล้มหรือถอนโคนได้ 2.ดินเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งนี้เนื่องจากธาตุอาหารพืชจะถูกปลดปล่อยออกจากอินทรียวัตถุ และแร่ต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของดิน ให้อยู่ในรูปที่รากพืชสามารถดึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย 3.ดินเป็นแหล่งที่เก็บกักน้ำหรือความชื้นในดิน ให้อยู่ในรูปที่รากพืชสามารถดึงดูดได้ง่าย เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงลำต้นและสร้างการเจริญเติบโต น้ำในดินจะต้องอยู่ในสภาพที่เหมาะสมเท่านั้น ที่รากพืชสามารถดึงดูดขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ การรดน้ำพืชจนขังแฉะ รากพืชไม่สามารถดึงดูดน้ำขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้ จะทำให้พืชเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด 4.ดินเป็นแหล่งที่ให้อากาศในดิน ที่รากพืชใช้เพื่อการหายใจ รากพืชประกอบด้วยเซลล์ที่มีชีวิต ต้องการออกซิเจนสำหรับการหายใจทำให้เกิดพลังงานเพื่อการดึงดูดน้ำ ธาตุอาหารและการเจริญเติบโต ดินที่มีการถ่ายเทอากาศดี รากพืชจะเจริญเติบโตแข็งแรง ดูดน้ำและ ธาตุอาหารได้มาก ทำให้ต้นพืชเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลิตผลสูง 5.ดินเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ เพราะสัตว์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนพื้นดิน นอกจากนั้น สัตว์บางชนิดยังอาศัยอยู่ใต้ดิน เช่น มด หนู ไส้เดือน กิ้งกือ ปลวก เป็นต้น 6.ดินใช้ทำของใช้ เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ เช่น ภาชนะ ถ้วย ชาม แจกัน กระถางต้นไม้ เป็นต้น 7.ดินใช้สร้างและเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย เช่น อิฐ ทำมาจากดินเหนียวผสมกับทราย และแกลบหรือขี้เลื่อยผสมกัน

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563



การลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง และให้ควาสำคัญกับตัวเลขที่ตราชั่งอย่างเดียวโดยไม่ดูรวมๆว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้างและมีผลเสียกับสุขภาพระยะยาวรึเปล่า เพราะบนตราชั่งจะเป็นน้ำหนักที่เรารวมทั้งร่างกายที่มีทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด ฉี่และไขมัน อยู่ด้วย ส่วนใหญ่ของคนปรกติที่ต้องการลดน้ำหนักก็จะทำคล้ายๆกันคือไม่ทานข้าวเย็น ทานอาหารเช้าน้อยหน่อย อาหารกลางอีกวันเล็กน้อย และออกกำลังกายเย่อะๆซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดได้พอสมควร ประมาณ5-10กิโลกรัม แต่ในน้ำหนักที่ลดไปคือสารอาหารที่เราขาดตามไปด้วย ในนั้นอาจจะเป็นกล้ามเนื้อ ส่วนหนึ่ง กระดูก ฉี่หรืออึ แต่มีไขมันหายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่มันทำให้เราสูญเสียส่วนดีๆในร่างกายของเราออกไปด้วย และจะทำให้เราดูแก่ลง การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือลดส่วนที่เป็นของเสียของร่างกายออกไปหรือกำจัดไขมันออกไปนั้นเอง ทานอาหารเช้าและเที่ยงตามปรกติส่วนอาหารเย็นให้งดแป้งโดยเด็ดขาด ให้ทานอาหารที่มีโปรตีนแทนเช่นสเต็กและผักเป็นต้น ห้ามอดอาหารและ เพิ่มการออกกำลังกายให้ได้วันละ3ครั้ง ครั้งละ20นาทีต่อวัน แค่นี้ก็จะช่วยลดไขมันส่วนเกินในแต่ละวันได้เย่อะเลยทีเดียว
สูตรลดน้ำหนัก
อ้างอิง https://www.kidteung.com/


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปรวม รัชกาล
 




ทำนายว่า ชาววิไล มีความหมายว่า ประเทศไทยของเราได้ก้าวพ้นช่วงยุคเข็ญมาแล้ว และนับแต่นี้ต่อไปประเทศไทยของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะได้พบกับความมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยรวมถึงขุมทรัพย์มหาศาลในผืนแผ่นดิน เมื่อใดที่มีผู้บริหารดีมีความจริงใจต่อบ้านเมือง ทรัพย์พยากรณ์ที่มีอยู่มากมายจะปรากฏขึ้น น้ำมันมากมายมหาศาลที่อยู่ใต้ผืนดินของประเทศไทย พอๆกับแม่น้ำสายหนึ่ง กว้างประมาณหนึ่งกิโลเมตรและยาวกว่าหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งกำลังไหลผ่านประเทศของเราลงสู่ทะเล เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของเราได้ผู้บริหารประเทศที่ดี มีมือสะอาดซื่อสัจสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย ก็จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองแห่งมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย

คำชี้แจง เป็นคำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งได้ทำนายไว้ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกและสูญเสียอิสรภาพให้กับประเทศพม่า หรือก่อนที่กรุงเทพยังไม่ปรากฏขึ้น ได้ทำนายไว้ว่า

กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะสูญเสียอิสรภาพไม่นานนัก เพราะจะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ใหม่ และเหตุการณ์ต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกประการ และพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวยังได้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทยในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละรัชกาลมีดังต่อไปนี้


ข้อที่ ๑.ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถูกทำนายไว้ว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ ซึ่งมีความหมายว่า ทรงผ่านพระเจ้าตากสินขึ้นครองพระราชสมบัติ

ข้อที่ ๒.ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถูกทำนายไว้ว่า รู้จักธรรม ซึ่งมีความหมายว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่างจากศึกสงคราม ท่านก็ได้หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่

ข้อที่ ๓.ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า จำต้องคิด ซึ่งมีความหมายว่า พระราชาองค์นี้ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

ข้อที่ ๔.ใสมัยรัชกาลที่ ๔ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า สนิทธรรม ซึ่งมีความหมายว่า พระราชาองค์นี้ จะทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา จึงมีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับสมเด็จพระพุทธอาจารย์โตอย่างยิ่งหรือเรียกได้ว่าเป็นคู่บารมี

ข้อที่ ๕. ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า จำแขนขาด ซึ่งมีความหมายว่า จะมีการเสียดินแดนของประเทศเกิดขึ้นไปหลายครั้งหลายหน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยอมเสียแขน ขา ดีกว่าสูญเสียตัวทั้งหมด จึงยอมเสียแผ่นดินไปบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้จนมาถึงวันนี้

ข้อที่ ๖. ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า ราษฎร์ราชาโจร ซึ่งมีความหมายว่า เงินในท้องพระคลังจะถูกนำออกมาใช้จ่ายจนหมดสิ้น แต่พระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม และทรงมีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยในสงครามครั้งที่๑ จึงเป็นเหตุที่ต้องใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะใช้เงินในท้องพระคลังไปจำนวนมาก แต่ก็เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราอย่างมากมาย

ข้อที่ ๗. ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า นั่งทนทุกข์ ซึ่งมีความหมายว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เพราะเงินในท้องพระคลังได้หมดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ และถึงกับต้องปลดข้าราชการออกเป็นจำนวนมากในครานั้น เท่านั้นยังไม่พอต่อมาพระองค์จำพระทัยต้องสละราชสมบัติ ก่อนจะเดินทางออกจากประเทศของตนไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

ข้อที่ ๘. ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ถูกทำนายไว้ว่า ยุคทมิฬ ซึ่งมีความหมายว่า บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยาก ยากแค้นแสนสาหัส พระพระมหากษัตริย์จะถูกรอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

ข้อที่ ๙. ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ถูกทำนายไว้ว่า ถิ่นกาขาว ซึ่งมีความหมายว่า กาซึ่งปรกติจะตัวดำแต่คนในยุคนี้กับมองเห็นเป็นกาสีขาว คนพาล คนชั่วแต่ผู้คนกลับมองว่าเป็นคนดี ยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี สนับสนุนคนพาล คนเลวทำตัวเป็นดีเดินตามถนน ส่วนคนดีเดินก้มหน้าตามตรอก คนเลวแกล้งทำตัวเป็นคนดีจนสังคมแยกไม่ออก ว่าใครดีใครชั่ว พร้อมทั้งกดขี่คนดี

ข้อที่ ๑๐. ในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ถูกทำนายไว้ว่า ชาววิไล ซึ่งมีความหมายว่า ประเทศไทยของเราได้ก้าวพ้นช่วงยุคเข็ญมาแล้ว และนับแต่นี้ต่อไป ประเทศไทยของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะได้พบกับความมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินไทยรวมถึงขุมทรัพย์มหาศาลในผืนแผ่นดิน เมื่อใดที่มีผู้บริหารดีมีความจริงใจต่อประเทศชาติบ้านเมือง ทรัพย์พยากรณ์ที่มีอยู่มากมายจะปรากฏขึ้น น้ำมันที่มีอยู่มากมายมหาศาลใต้ผืนดินของประเทศไทย พอๆกับแม่น้ำสายหนึ่ง กว้างประมาณหนึ่งกิโลเมตรและยาวกว่าหลายร้อยกิโลเมตร ที่กำลังไหลผ่านประเทศของเราลงสู่ท้องทะเล เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของเราได้ผู้บริหารประเทศที่ดี มีมือสะอาดซื่อสัจสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองแห่งมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงก้องระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย
อ้างอิง https://www.kidteung.com/

เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรากินมากเกินไป ?
ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเจออาหารที่มีรสชาติอร่อยถูกปากแล้ว เชื่อเถอะว่าเป็นใครก็ต้องอยากรับประทานเยอะๆ กันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่ากระเพาะอาหารของเราไม่สามารถรับเอาอาหารเล่านี้ไว้ในกระเพาะจนหมดทุกอย่างได้ ซึ่งหากรับประทานอาหารมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารนั้นทำงานหนักมากเกินไปทำให้เกิดอาการอึดอัด จุก แน่น และส่งผลทำให้เราหายใจลำบากขึ้นด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรากินมากเกินไป?

ทำความรู้จักกับกระเพาะอาหารกันเถอะ

กระเพาะอาหารของคนเรานั้นหากไม่มีอาหารจะมีขนาดเพียง 0.05 ลิตรดูเหมือนจะมีขนาดเล็กแต่ว่าผนังของกระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อที่หนาและแข็งแรงมากจึงทำให้ผนังกระเพาะมีการยืดหยุ่นและมีการขยายได้มากถึง 50 เท่าของขนาดเดิม และเมื่อรับประอาหารเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะทำให้กระเพาะนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้นและทำให้เกิดการเบียดกับอวัยวะข้างเคียงอื่นๆ ทำให้ท้องของคนเรานั้นใหญ่ขึ้นไม่เพียงเท่านั้นขณะที่เคี้ยวหรือกลืนอาหาร อากาศก็จะไหลผ่านเข้าไปด้วยนอกจากนี้ท้องและลำไส้ของคนเราก็ยังได้รับแก๊สจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปอีกด้วย โดยเฉพาะเครื่องดื่มอย่าง น้ำอัดลม โซดา หรือเบียร์ ซึ่งแก๊สที่มาจากเครื่อดื่มเหล่านี้มันกินพื้นที่ในกระเพาะอาหารเป็นปริมาณมากกว่าการรับประทานอาหารทั่วไปเสียอีก

นอกจากนี้ในกระบวนการย่อยอาหาร กระเพาะของเราก็จะผลิตกรดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า กรดไฮโดรคลอริก ออกมา หากรับประทานอาหารมากๆ ก็จะส่งผลทำให้กระเพาะของเราผลิตกรดไฮโดรคลอริกออกมามากเช่นเดียวกันและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังนั้นก็คืออาการกรดไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ทำให้เรารู้สึกจุก แน่น แสบร้อนกลางแก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มนั้นก็เกิดจากฮอร์โมนอิ่มที่มีชื่อว่า เรคติน

เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วฮอร์โมนเรคตินจะสงสัญญาณไปยังสมองในส่วนที่มีชื่อว่า ไฮโปทาลามัส เพื่อสั่งให้ร่างกายนั้นหยุดกินนั้นเอง ฉะนั้นการรับประทานอาหารมากจนเกินไปนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราเลยแม้แต่น้อย
 ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรกินอาหารให้ครบ 5หมู่เพื่อร่างกายจะได้เเข็งเเรง 
เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรากินมากเกินไป

อ้างอิง;https://www.kidteung.com

วันนี้เรามารู้ว่าเราควรนอนกี่นาทีถึงจะพอดี
หลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วง พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยวิธีต่างๆ เช่น การดื่มกาแฟ การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ล้างหน้าล้างตา เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วการงีบหลับนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นได้ และหากจะให้ได้ผลเต็มที่การงีบหลับจะต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นเอง
วงจรการนอนหลับแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

1. ระยะที่หนึ่งเป็นระยะที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่การนอน ในระยะนี้หาถูกปลุกให้ตื่นจะทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้นอน
2. ระยะที่สองเป็นเหมือนระยะของการนอนหลับอย่างแท้จริง หรือเป็นช่วงหลับตื้นๆ ที่ยังไม่มีการฝัน จึงทำให้การหลับในระยะนี้สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้โดยง่าย
3. ระยะที่สามเป็นช่วงที่หลับลึกลงไป และเป็นระยะที่เริ่มจะปลุกให้ตื่นค่อนข้างยากขึ้น หากถูกปลุกจะทำให้รู้สึกงัวเงีย
4. ระยะที่สี่จะเป็นช่วงที่หลับลึกที่สุดและระยะนี้เป็นระยะที่ปลุกยากที่สุด ซึ่งในระยะนี้เองจะเป็นช่วงที่มีการฝันเกิดขึ้น
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด?

1.การงีบ 10-20 นาที จะทำให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มพลังให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ดีในช่วงเวลานี้จะสามารถปลุกให้ตื่นได้ง่าย
2.การงีบ 30 นาที แต่ว่าในการงีบหลับนาน 30 นาที หากทำให้ตื่นขึ้นมามักจะมีอาการเหมือนการแฮงค์โอเวอร์ ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกเฉือยๆ ไม่ประปรี้ประเปร่า
3.การงีบ 60 นาที ช่วงนี้การนอนจะมีผลต่อการส่งคลื่นสั้นๆต่อสมองอยู่ในระยะหลับลึก มีผลต่ความจำทำให้จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่การตื่นของช่วงเวลานี้จะรู้สึกงีวเงียและตื่นยากกว่าปกติ
4.การงีบ 90 นาทีหรือการครบวงจรการหลับ ช่วงนี้เป็นการหลับที่สมบูรณ์ สมองจะได้พักเต็มที่ ช่วยในเรื่องของความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยังทำให้ร่างายนั้นสดชื่นประปรี้ประเปร่าอีกด้วย
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด



ภาษา C เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป เป็นภาษาที่มีความจำเป็นมาก มันสนับสนุนการเขียนโปรแกรมที่มีโครงสร้าง การกำหนดขอบเขตของตัวแปร และการเรียกใช้ตัวเอง (Recusion) และมันเป็นภาษาที่อยู่ในระดับต่ำ (Low level) นั่นคือ มันเป็นภาษาที่สามารถทำงานได้ดีในระดับของฮาร์ดแวร์ ภาษา C เป็นสามารถที่ออกแบบมาให้สามารถที่จะทำงานกับคำสั่งพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นมันจึงถูกพบบ่อยในการใช้สร้างแอพพลิเคชันในสมัยก่อนที่เขียนโดยภาษาแอสเซมบลี รวมถึงระบบประฏิบัติการ เช่นเดียวกันกับซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับคอมพิวเตอร์ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และระบบฝังตัว ภาษา C เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียนโปรแกรมเป็นแบบลำดับ (Imperative procedural) ให้ถูกออกแบบให้คอมไพล์อย่างตรงไปตรงมากับคอมไพเลอร์ที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการจัดการหน่วยความจำในระดับต่ำ และทำให้โครงสร้างของภาษาเชื่อมโยงกับคำสั่งการทำงานของคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ภาษา C จึงมีประโยชน์กับการพัฒนาแอพพลิเคชันที่เคยเขียนโดยภาษา Assembly ยกตัวอย่าง เช่น โปรแกรมระบบ
ถึงแม้ว่าภาษา C มีความสามารถใน Low-level แต่มันยังถูกออกแบบเพื่อช่วยให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบ Cross-platform โค้ดของโปรแกรมที่เขียนขึ้นจากมาตรฐานของภาษา C นั้นสามารถนำไปคอมไพล์ได้ในคอมพิวเตอร์ในแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการที่หลากหลายโดยเพียงแค่เปลี่ยนแปลงโค้ดเพียงเล็กน้อย ภาษา C นั้นสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวางในแพลตฟอร์มขนาดต่างๆ ตั้งแต่ Embedded microcontrollers ไปจนถึง Supercomputer หลังจากคุณเรียนจบบทเรียนนี้ คุณจะเข้าใจพื้นฐานและโครงสร้างของภาษา C ได้ดีขึ้นอ รวมถึงแนวคิดและวิธีในการเขียนโปรแกรม และสามารถสร้างโปรแกรมอย่างง่ายไปจนถึงโปรแกรมที่มีความซับซ้อนได้ โดยคุณสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นอีกหลายๆ ภาษาได้ เพราะว่าภาษาส่วนมากนั้นสร้างมากจากภาษา C เช่น ภาษา C++ ภาษา Java และภาษา PHP ดังนั้น ในการที่คุณเริ่มต้นเรียนรู้จากภาษา C คุณจะได้เปรียบมากกว่า และมันจะง่ายสำหรับคุณในการเขียนรู้การเขียนโปรแกรมในภาษาอื่นต่อไป


การพิมพ์หนังสือราชการภาษาไทย การจัดทำกระดาษตราครุฑและกระดาษบันทึกข้อความโดยใช้โปรแกรมการพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้จัดทำให้ถูกต้องตามแบบของกระดาษตราครุฑ (แบบที่ 28) และแบบของกระดาษบันทึกข้อความ (แบบที่ 29) ท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526
1. การตั้งค่าในโปรมแกรมการพิมพ์
1.1 การตั้งระยะขอบกระดาษ
- ขอบซ้าย 3 เซนติเมตร
- ขอบขวา 2 เซนติเมตร
- ขอบบน 2.5 เซนติเมตร
- ขอบล่างประมาณ 2 เซนติเมตร
1.2 การตั้งระยะบรรทัด ให้ใช้ค่าระยะบรรทัดปกติคือ 1 เท่า หรือ Single
ในกรณีที่มีความจำเป็น อาจปรับระยะเป็น 1.05 พอยท์ หรือ 1.1 พอยท์ ได้ตามความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความสวยงามและรูปแบบหนังสือเป็นสำคัญ (ระยะ 1.05 พอยท์ หรือ 1.1 พอยท์ จะสวยงาม อ่านง่ายและสบายตากว่าระยะ 1 เท่า หรือ Single)
1.3 การกั้นค่าไม้บรรทัดระยะการพิมพ์ อยู่ระหว่าง 0-16 เซนติเมตร (หน้ากระดาษ A4 เมื่อตั้งระยะขอบซ้าย 3 เซนติเมตร ขอบขวา 2 เซนติเมตร จะเหลือพื้นที่สำหรับการพิมพ์ มีความกว่าง 16 เซนติเมตร)
2. ขนาดตราครุฑ
2.1 ตราครุฑ 3 เซนตเมตร ใช้สำหรับการจัดทำกระดาษตราครุฑ
ตราครุสูง 1.5 เซนติเมตร ใช้สำหรับการจัดทำกระดาษบันทึกข้อความ
2.2 การวางตราครุฑให้วางห่างจากขอบกระดาษบนประมาณ 2.5 เซนติเมตร (เผื่อพื้นที่สำหรับประทับตราหนังสือ และการลงทะเบียนรับทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์)
3. การพิมพ์
3.1 การจัดทำหนังสือราชการตามแบบท้ายระเบียบฯ จำนวน 11 แบบ (ได้แก่ หนังสือภายนอก หนังสือภายใน หนังสือประทับตรา คำสั่ง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ แถลงการณ์ ข่าว หนังสือรับรอง และ รายงานการประชุม ) ให้ใช้รูปแบบตัวพิมพ์ (ฟอนต์) ไทยสารบรรณ (Th Sarabun Psk) ขนาด 16 พอยท์
3.2 การพิมพ์หนังสือที่มีข้อความมากกว่า 1 หน้า หน้าต่อไปให้ใช้กระดาษที่มีคุณภาเช่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกับแผ่นแรก
3.3 การพิมพ์หัวข้อต่าง ๆ ของหนังสือแต่ละชนิด ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ
3.4 ก่อนเริ่มพิมพ์ข้อความ ให้ (Click File > ตั้งค่าหน้ากระดาษ (Page Setup) ก่อนเสมอ เพื่อเลือกขนาดกระดาษที่จะใช้พิมพ์ ตั้งระยะขอบหน้ากระดาษ และการวางแนวกระดาษ
3.5 จำนวนบรรทัดการพิมพ์หนังสือราชการในแต่ละหน้าให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับจำนวนข้อความ และความสวยงาม
แบบมาตรฐาตการพิมพ์หนังสือราชการภาษาไทยด้วยโปรแกรมการพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ ประกอบด้วยแบบมาตรฐานการพิมพ์ พร้อมคำแนะนำประกอบการพิมพ์หนังสือราชการชนิดต่าง ๆ ซึ่งใช้ในการปฏิบัติราชการใน ทร. รวม 9 ชนิด ดังนี้
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายในที่ใช้กระดาษบันทึกข้อความ ส่วนหนังสือภายในที่ใช้กระตราครุฑให้จัดพิมพ์ตามแบบของหนังสือภายนอกโดยอนุโลม
3. บันทึก
4. หนังสือประทับตรา
5. คำสั่ง
5.1 คำสั่ง กรณีหัวหน้าส่วนราชการที่ออกคำสั่งให้เป็นผู้ลงชื่อ
5.2 คำสั่ง กรณีคับคำสั่ง
6. ระเบียบ
7. ประกาศ
8. หนังสือรับรอง
9. รายงานการประชุม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กินนม

การกินนมให้ถูกวิธี ดื่มนมให้ได้ประโยชน์

การดื่มนม อยากถูกวิธี เราควรกินนม อย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และ สิ่งที่ไม่ควรทำตอนกินนม ไม่ว่าจะเป็น กินนมพร้อมกับ ยา และ อื่นๆการกินนมให้ถูกวิธี


การกินนมให้ถูกวิธี

1 ไม่ควรเติมน้ำตาลใส่นมมากเกิน 8 กรัม ต่อนม 100 มิลลิลิตร และไม่ควรใส่น้ำตาลในขณะที่นมกำลังร้อนจัด เพราะจะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ที่เหมาะสมที่สุดควรจะใส่น้ำตาลในขณะที่นมเริ่มเย็นลง หรืออุ่นๆ และน้ำตาลที่ใช้ควรจะเป็นน้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลอ้อยเพราะร่างกายจะดูดซึมได้ง่ายกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ
2 ไม่ควรทานยาพร้อมกับนม เพราะนมจะเข้าไปเคลือบกระเพาะ และทำให้ฤทธิของยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ เมื่อดูดซึมเข้าไปไม่ได้ก็ไม่เกิดประโยนช์อะไรเลย ทางที่ดีควรทานยาก่อนหรือหลังดื่มนม 1-2 ชั่วโมงจะดีที่สุด
3 การต้มนมจนเดือดถึง 100 องศา จะทำให้สารอาหารที่มีประโยนช์และน้ำตาลในนมเกิดการไหม้เกรียมได้ เมื่อมีการไหม้เกรียมจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งขึ้นมาแทนที่ อีกทั้งแคลเซี่ยมที่อยู่ในนมก็จะจับตัวเป็นตะกอน ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ยากยิ่งขึ้น ที่สำคัญอีกอย่าง ห้ามใส่น้ำมะนาวลงในนมโดยเด็ดขาด เพราะกรดจากน้ำมะนาวจะทำลายโปรตีนในนมจนหมด
4 ห้ามใช้นมเปรี้ยวเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมเปรี้ยวมีจุลินทรีย์ที่อาจจะทำให้ทารกท้องเสียได้
5 นมข้น ห้ามใช้นมข้นเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมข้นไม่มีคุณสมบัติและสารอาหารที่เกิดประโยนช์ต่อร่างกายทารกเลยแม้แต่น้อย และในนมข้นยังมี ไขมัน น้ำตาล และโซเดียมเป็นหลัก ซึ่งอาจจะเกิดผลเสียต่อร่างกายทารกอีกหลายอย่าง เช่น โรคขาดสารอาหาร พลังงาน และโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารกเป็นอย่างมาก ด้วยความปารถนาดีค่ะ

เราสามารถเรียนรู้วิธีการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop นี้ได้ด้วยตัวเอง  คุณสามารถที่จะทำการแก้ไขภาพ ตกแต่งภาพ ซ้อนภาพในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การใส่ข้อความประกอบลงในภาพด้วย  และเนื่องด้วย Adobe Photoshop มีการพัฒนาโปรแกรมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราจำเป็นต้องศึกษาคำสั่งต่างๆ ให้เข้าใจ แต่ที่สำคัญ เมื่อคุณเรียนรู้การใช้คำสั่งในเวอร์ชั่นเก่า คุณก็ยังคงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้ด้วยง่ายๆเลย
ประโยช์นของ ps นะคะ
1.ตกแต่งหรือแก้ไขรูปภาพ
2.ตัดต่อภาพบางส่วน หรือที่เรียกว่า crop ภาพ
3.เปลี่ยนแปลงสีของภาพ จากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้
4.สามารถลากเส้น แบบฟรีสไตล์ หรือใส่รูปภาพ สี่เหลี่ยม วงกลม หรือสร้างภาพได้อย่างอิสระ
5มีการแบ่งชั้นของภาพเป็น Layer สามารถเคลื่อนย้ายภาพได้เป็นอิสระต่อกัน
6.การทำ cloning ภาพ หรือการทำภาพซ้ำในรูปภาพเดียวกัน
7.เพิ่มเติมข้อความ ใส่ effect ของข้อความได้
8.Brush หรือแปรงทาสี ที่สามารถเลือกรูปแบบสำเร็จรูปในการสร้างภาพได้และอื่นๆ อีกมากมาย

                                    
การศึกษา (Education)ในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 นิยาม ความหมายของการศึกษา มีความหมายว่า "กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต" และมาตรา 15 ได้กำหนดระบบการศึกษา ในการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 
 กล่าวโดยสรุป ได้ดังนี้
  • ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปจบ
  •  การศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อเสริมเติมเต็มและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยไม่แบ่งเป็นระดับชั้น การศึกษาสำหรับผู้อ่านออกเขียนได้ การจัดการศึกษาที่สนองความต้องการความจำเป็นของผู้เรียนที่ให้โอกาสทางการศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตให้กับบุคคลการจัดประสบการณ์ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยหน่วยงานทางการศึกษาต่างๆ
  • การศึกษาที่ถูกกำหนดในรูปของโอกาส เพื่อให้ผูกพันต่อเนื่องกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลังจากจบระดับประถมศึกษาหรือเทียบเท่าการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคคลต่อเนื่องจากฐานความรู้เดิม ในรูปของกิจกรรมการเรียนรู้หรือหลักสูตรการเรียนรู้ ประเภทมีหน่วยกิตและไม่มีหน่วยกิตซึ่งมิใช่การศึกษาตามระบบปกติ การศึกษาต่อเนื่อง เป็นได้ทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ การยกระดับฝีมือในการทำงาน รวมทั้งหลักสูตรการพัฒนาตนเองเพื่อการทำงาน และการเรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหา การศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการ และความจำเป็นของบุคคล ต่อเนื่องไปจากการศึกษา ขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา
  • เราทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันเเต่ที่เราเหมือนกันคือเราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อเป็นประโยชน์เเกตัวเราเอง

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

วันนี้เรียนรู้เรื่องการสร้างปกรายงานด้วยpowerpoint
ใช้สำหรับทำปกรายงาน ปก portfolio ปกอะไรก้ได้ ไม่ง้อ photoshop ซึ่งเรียนรู้เเละทำง่ายมากๆสามารถสืบค้นตัวอย่างได้จาก google ได้อีก ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆในการทำงาน ประยุกต์โปรเเกรมที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วิธีง่ายๆด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
1.ตั้งค่า slide ให้มีขนาด a4 เเนวตั้ง
2.เเทรก รูปภาพ ต่างๆ จัดใหเสวยงาม ล้นออกจาก slide ได้ ซึ่งมันจะเเสดงเเค่ใน slide
3.แทรกภาพตัวเอง ที่มีพื้นหลัง เบลอๆ หรือสีเดียว ให้ตัวเราเด่นๆ สวยๆ จากนัน้คลิกเอาพื้นหลังออก ว้าว!!!!!!!!คลิกเดียวสวย
4.เเทรกข้อความตามด้วยเนื้อหา
5.เเทรกรูปภาพประกอบ พอประมาณ
6.บันทึก เเละบันทึกเป็น JPG/PNG หรือสั่งพิมพ์เลย สวยยยยยยยยยยยย
วิดีโอจากเด็กโชว์พอร์ตhttps://www.youtube.com/watch?v=nxDgyq4KrbA

วชิกา ราคาเเพง

วชิกา ราคาเเพง

สถานที่

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Facebook

Facebook Wachika Rakapang

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ค้นหาบล็อกนี้

Popular Posts