วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563



การลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง และให้ควาสำคัญกับตัวเลขที่ตราชั่งอย่างเดียวโดยไม่ดูรวมๆว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้างและมีผลเสียกับสุขภาพระยะยาวรึเปล่า เพราะบนตราชั่งจะเป็นน้ำหนักที่เรารวมทั้งร่างกายที่มีทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด ฉี่และไขมัน อยู่ด้วย ส่วนใหญ่ของคนปรกติที่ต้องการลดน้ำหนักก็จะทำคล้ายๆกันคือไม่ทานข้าวเย็น ทานอาหารเช้าน้อยหน่อย อาหารกลางอีกวันเล็กน้อย และออกกำลังกายเย่อะๆซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดได้พอสมควร ประมาณ5-10กิโลกรัม แต่ในน้ำหนักที่ลดไปคือสารอาหารที่เราขาดตามไปด้วย ในนั้นอาจจะเป็นกล้ามเนื้อ ส่วนหนึ่ง กระดูก ฉี่หรืออึ แต่มีไขมันหายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่มันทำให้เราสูญเสียส่วนดีๆในร่างกายของเราออกไปด้วย และจะทำให้เราดูแก่ลง การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือลดส่วนที่เป็นของเสียของร่างกายออกไปหรือกำจัดไขมันออกไปนั้นเอง ทานอาหารเช้าและเที่ยงตามปรกติส่วนอาหารเย็นให้งดแป้งโดยเด็ดขาด ให้ทานอาหารที่มีโปรตีนแทนเช่นสเต็กและผักเป็นต้น ห้ามอดอาหารและ เพิ่มการออกกำลังกายให้ได้วันละ3ครั้ง ครั้งละ20นาทีต่อวัน แค่นี้ก็จะช่วยลดไขมันส่วนเกินในแต่ละวันได้เย่อะเลยทีเดียว
สูตรลดน้ำหนัก
อ้างอิง https://www.kidteung.com/


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปรวม รัชกาล
 




ทำนายว่า ชาววิไล มีความหมายว่า ประเทศไทยของเราได้ก้าวพ้นช่วงยุคเข็ญมาแล้ว และนับแต่นี้ต่อไปประเทศไทยของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะได้พบกับความมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยรวมถึงขุมทรัพย์มหาศาลในผืนแผ่นดิน เมื่อใดที่มีผู้บริหารดีมีความจริงใจต่อบ้านเมือง ทรัพย์พยากรณ์ที่มีอยู่มากมายจะปรากฏขึ้น น้ำมันมากมายมหาศาลที่อยู่ใต้ผืนดินของประเทศไทย พอๆกับแม่น้ำสายหนึ่ง กว้างประมาณหนึ่งกิโลเมตรและยาวกว่าหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งกำลังไหลผ่านประเทศของเราลงสู่ทะเล เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของเราได้ผู้บริหารประเทศที่ดี มีมือสะอาดซื่อสัจสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย ก็จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองแห่งมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย

คำชี้แจง เป็นคำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งได้ทำนายไว้ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกและสูญเสียอิสรภาพให้กับประเทศพม่า หรือก่อนที่กรุงเทพยังไม่ปรากฏขึ้น ได้ทำนายไว้ว่า

กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะสูญเสียอิสรภาพไม่นานนัก เพราะจะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ใหม่ และเหตุการณ์ต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกประการ และพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวยังได้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทยในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละรัชกาลมีดังต่อไปนี้


ข้อที่ ๑.ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถูกทำนายไว้ว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ ซึ่งมีความหมายว่า ทรงผ่านพระเจ้าตากสินขึ้นครองพระราชสมบัติ

ข้อที่ ๒.ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถูกทำนายไว้ว่า รู้จักธรรม ซึ่งมีความหมายว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่างจากศึกสงคราม ท่านก็ได้หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่

ข้อที่ ๓.ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า จำต้องคิด ซึ่งมีความหมายว่า พระราชาองค์นี้ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

ข้อที่ ๔.ใสมัยรัชกาลที่ ๔ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า สนิทธรรม ซึ่งมีความหมายว่า พระราชาองค์นี้ จะทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา จึงมีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับสมเด็จพระพุทธอาจารย์โตอย่างยิ่งหรือเรียกได้ว่าเป็นคู่บารมี

ข้อที่ ๕. ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า จำแขนขาด ซึ่งมีความหมายว่า จะมีการเสียดินแดนของประเทศเกิดขึ้นไปหลายครั้งหลายหน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยอมเสียแขน ขา ดีกว่าสูญเสียตัวทั้งหมด จึงยอมเสียแผ่นดินไปบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้จนมาถึงวันนี้

ข้อที่ ๖. ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า ราษฎร์ราชาโจร ซึ่งมีความหมายว่า เงินในท้องพระคลังจะถูกนำออกมาใช้จ่ายจนหมดสิ้น แต่พระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม และทรงมีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยในสงครามครั้งที่๑ จึงเป็นเหตุที่ต้องใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะใช้เงินในท้องพระคลังไปจำนวนมาก แต่ก็เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราอย่างมากมาย

ข้อที่ ๗. ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถูกทำนายไว้ว่า นั่งทนทุกข์ ซึ่งมีความหมายว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เพราะเงินในท้องพระคลังได้หมดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ และถึงกับต้องปลดข้าราชการออกเป็นจำนวนมากในครานั้น เท่านั้นยังไม่พอต่อมาพระองค์จำพระทัยต้องสละราชสมบัติ ก่อนจะเดินทางออกจากประเทศของตนไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

ข้อที่ ๘. ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ถูกทำนายไว้ว่า ยุคทมิฬ ซึ่งมีความหมายว่า บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยาก ยากแค้นแสนสาหัส พระพระมหากษัตริย์จะถูกรอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

ข้อที่ ๙. ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ถูกทำนายไว้ว่า ถิ่นกาขาว ซึ่งมีความหมายว่า กาซึ่งปรกติจะตัวดำแต่คนในยุคนี้กับมองเห็นเป็นกาสีขาว คนพาล คนชั่วแต่ผู้คนกลับมองว่าเป็นคนดี ยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี สนับสนุนคนพาล คนเลวทำตัวเป็นดีเดินตามถนน ส่วนคนดีเดินก้มหน้าตามตรอก คนเลวแกล้งทำตัวเป็นคนดีจนสังคมแยกไม่ออก ว่าใครดีใครชั่ว พร้อมทั้งกดขี่คนดี

ข้อที่ ๑๐. ในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ถูกทำนายไว้ว่า ชาววิไล ซึ่งมีความหมายว่า ประเทศไทยของเราได้ก้าวพ้นช่วงยุคเข็ญมาแล้ว และนับแต่นี้ต่อไป ประเทศไทยของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะได้พบกับความมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินไทยรวมถึงขุมทรัพย์มหาศาลในผืนแผ่นดิน เมื่อใดที่มีผู้บริหารดีมีความจริงใจต่อประเทศชาติบ้านเมือง ทรัพย์พยากรณ์ที่มีอยู่มากมายจะปรากฏขึ้น น้ำมันที่มีอยู่มากมายมหาศาลใต้ผืนดินของประเทศไทย พอๆกับแม่น้ำสายหนึ่ง กว้างประมาณหนึ่งกิโลเมตรและยาวกว่าหลายร้อยกิโลเมตร ที่กำลังไหลผ่านประเทศของเราลงสู่ท้องทะเล เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของเราได้ผู้บริหารประเทศที่ดี มีมือสะอาดซื่อสัจสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองแห่งมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงก้องระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย
อ้างอิง https://www.kidteung.com/

เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรากินมากเกินไป ?
ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเจออาหารที่มีรสชาติอร่อยถูกปากแล้ว เชื่อเถอะว่าเป็นใครก็ต้องอยากรับประทานเยอะๆ กันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่ากระเพาะอาหารของเราไม่สามารถรับเอาอาหารเล่านี้ไว้ในกระเพาะจนหมดทุกอย่างได้ ซึ่งหากรับประทานอาหารมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารนั้นทำงานหนักมากเกินไปทำให้เกิดอาการอึดอัด จุก แน่น และส่งผลทำให้เราหายใจลำบากขึ้นด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรากินมากเกินไป?

ทำความรู้จักกับกระเพาะอาหารกันเถอะ

กระเพาะอาหารของคนเรานั้นหากไม่มีอาหารจะมีขนาดเพียง 0.05 ลิตรดูเหมือนจะมีขนาดเล็กแต่ว่าผนังของกระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อที่หนาและแข็งแรงมากจึงทำให้ผนังกระเพาะมีการยืดหยุ่นและมีการขยายได้มากถึง 50 เท่าของขนาดเดิม และเมื่อรับประอาหารเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะทำให้กระเพาะนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้นและทำให้เกิดการเบียดกับอวัยวะข้างเคียงอื่นๆ ทำให้ท้องของคนเรานั้นใหญ่ขึ้นไม่เพียงเท่านั้นขณะที่เคี้ยวหรือกลืนอาหาร อากาศก็จะไหลผ่านเข้าไปด้วยนอกจากนี้ท้องและลำไส้ของคนเราก็ยังได้รับแก๊สจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปอีกด้วย โดยเฉพาะเครื่องดื่มอย่าง น้ำอัดลม โซดา หรือเบียร์ ซึ่งแก๊สที่มาจากเครื่อดื่มเหล่านี้มันกินพื้นที่ในกระเพาะอาหารเป็นปริมาณมากกว่าการรับประทานอาหารทั่วไปเสียอีก

นอกจากนี้ในกระบวนการย่อยอาหาร กระเพาะของเราก็จะผลิตกรดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า กรดไฮโดรคลอริก ออกมา หากรับประทานอาหารมากๆ ก็จะส่งผลทำให้กระเพาะของเราผลิตกรดไฮโดรคลอริกออกมามากเช่นเดียวกันและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังนั้นก็คืออาการกรดไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ทำให้เรารู้สึกจุก แน่น แสบร้อนกลางแก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มนั้นก็เกิดจากฮอร์โมนอิ่มที่มีชื่อว่า เรคติน

เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วฮอร์โมนเรคตินจะสงสัญญาณไปยังสมองในส่วนที่มีชื่อว่า ไฮโปทาลามัส เพื่อสั่งให้ร่างกายนั้นหยุดกินนั้นเอง ฉะนั้นการรับประทานอาหารมากจนเกินไปนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราเลยแม้แต่น้อย
 ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรกินอาหารให้ครบ 5หมู่เพื่อร่างกายจะได้เเข็งเเรง 
เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรากินมากเกินไป

อ้างอิง;https://www.kidteung.com

วันนี้เรามารู้ว่าเราควรนอนกี่นาทีถึงจะพอดี
หลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วง พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยวิธีต่างๆ เช่น การดื่มกาแฟ การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ล้างหน้าล้างตา เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วการงีบหลับนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นได้ และหากจะให้ได้ผลเต็มที่การงีบหลับจะต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นเอง
วงจรการนอนหลับแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

1. ระยะที่หนึ่งเป็นระยะที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่การนอน ในระยะนี้หาถูกปลุกให้ตื่นจะทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้นอน
2. ระยะที่สองเป็นเหมือนระยะของการนอนหลับอย่างแท้จริง หรือเป็นช่วงหลับตื้นๆ ที่ยังไม่มีการฝัน จึงทำให้การหลับในระยะนี้สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้โดยง่าย
3. ระยะที่สามเป็นช่วงที่หลับลึกลงไป และเป็นระยะที่เริ่มจะปลุกให้ตื่นค่อนข้างยากขึ้น หากถูกปลุกจะทำให้รู้สึกงัวเงีย
4. ระยะที่สี่จะเป็นช่วงที่หลับลึกที่สุดและระยะนี้เป็นระยะที่ปลุกยากที่สุด ซึ่งในระยะนี้เองจะเป็นช่วงที่มีการฝันเกิดขึ้น
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด?

1.การงีบ 10-20 นาที จะทำให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มพลังให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ดีในช่วงเวลานี้จะสามารถปลุกให้ตื่นได้ง่าย
2.การงีบ 30 นาที แต่ว่าในการงีบหลับนาน 30 นาที หากทำให้ตื่นขึ้นมามักจะมีอาการเหมือนการแฮงค์โอเวอร์ ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกเฉือยๆ ไม่ประปรี้ประเปร่า
3.การงีบ 60 นาที ช่วงนี้การนอนจะมีผลต่อการส่งคลื่นสั้นๆต่อสมองอยู่ในระยะหลับลึก มีผลต่ความจำทำให้จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่การตื่นของช่วงเวลานี้จะรู้สึกงีวเงียและตื่นยากกว่าปกติ
4.การงีบ 90 นาทีหรือการครบวงจรการหลับ ช่วงนี้เป็นการหลับที่สมบูรณ์ สมองจะได้พักเต็มที่ ช่วยในเรื่องของความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยังทำให้ร่างายนั้นสดชื่นประปรี้ประเปร่าอีกด้วย
ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด



ภาษา C เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป เป็นภาษาที่มีความจำเป็นมาก มันสนับสนุนการเขียนโปรแกรมที่มีโครงสร้าง การกำหนดขอบเขตของตัวแปร และการเรียกใช้ตัวเอง (Recusion) และมันเป็นภาษาที่อยู่ในระดับต่ำ (Low level) นั่นคือ มันเป็นภาษาที่สามารถทำงานได้ดีในระดับของฮาร์ดแวร์ ภาษา C เป็นสามารถที่ออกแบบมาให้สามารถที่จะทำงานกับคำสั่งพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นมันจึงถูกพบบ่อยในการใช้สร้างแอพพลิเคชันในสมัยก่อนที่เขียนโดยภาษาแอสเซมบลี รวมถึงระบบประฏิบัติการ เช่นเดียวกันกับซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับคอมพิวเตอร์ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และระบบฝังตัว ภาษา C เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียนโปรแกรมเป็นแบบลำดับ (Imperative procedural) ให้ถูกออกแบบให้คอมไพล์อย่างตรงไปตรงมากับคอมไพเลอร์ที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการจัดการหน่วยความจำในระดับต่ำ และทำให้โครงสร้างของภาษาเชื่อมโยงกับคำสั่งการทำงานของคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ภาษา C จึงมีประโยชน์กับการพัฒนาแอพพลิเคชันที่เคยเขียนโดยภาษา Assembly ยกตัวอย่าง เช่น โปรแกรมระบบ
ถึงแม้ว่าภาษา C มีความสามารถใน Low-level แต่มันยังถูกออกแบบเพื่อช่วยให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบ Cross-platform โค้ดของโปรแกรมที่เขียนขึ้นจากมาตรฐานของภาษา C นั้นสามารถนำไปคอมไพล์ได้ในคอมพิวเตอร์ในแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการที่หลากหลายโดยเพียงแค่เปลี่ยนแปลงโค้ดเพียงเล็กน้อย ภาษา C นั้นสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวางในแพลตฟอร์มขนาดต่างๆ ตั้งแต่ Embedded microcontrollers ไปจนถึง Supercomputer หลังจากคุณเรียนจบบทเรียนนี้ คุณจะเข้าใจพื้นฐานและโครงสร้างของภาษา C ได้ดีขึ้นอ รวมถึงแนวคิดและวิธีในการเขียนโปรแกรม และสามารถสร้างโปรแกรมอย่างง่ายไปจนถึงโปรแกรมที่มีความซับซ้อนได้ โดยคุณสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นอีกหลายๆ ภาษาได้ เพราะว่าภาษาส่วนมากนั้นสร้างมากจากภาษา C เช่น ภาษา C++ ภาษา Java และภาษา PHP ดังนั้น ในการที่คุณเริ่มต้นเรียนรู้จากภาษา C คุณจะได้เปรียบมากกว่า และมันจะง่ายสำหรับคุณในการเขียนรู้การเขียนโปรแกรมในภาษาอื่นต่อไป


การพิมพ์หนังสือราชการภาษาไทย การจัดทำกระดาษตราครุฑและกระดาษบันทึกข้อความโดยใช้โปรแกรมการพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้จัดทำให้ถูกต้องตามแบบของกระดาษตราครุฑ (แบบที่ 28) และแบบของกระดาษบันทึกข้อความ (แบบที่ 29) ท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526
1. การตั้งค่าในโปรมแกรมการพิมพ์
1.1 การตั้งระยะขอบกระดาษ
- ขอบซ้าย 3 เซนติเมตร
- ขอบขวา 2 เซนติเมตร
- ขอบบน 2.5 เซนติเมตร
- ขอบล่างประมาณ 2 เซนติเมตร
1.2 การตั้งระยะบรรทัด ให้ใช้ค่าระยะบรรทัดปกติคือ 1 เท่า หรือ Single
ในกรณีที่มีความจำเป็น อาจปรับระยะเป็น 1.05 พอยท์ หรือ 1.1 พอยท์ ได้ตามความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความสวยงามและรูปแบบหนังสือเป็นสำคัญ (ระยะ 1.05 พอยท์ หรือ 1.1 พอยท์ จะสวยงาม อ่านง่ายและสบายตากว่าระยะ 1 เท่า หรือ Single)
1.3 การกั้นค่าไม้บรรทัดระยะการพิมพ์ อยู่ระหว่าง 0-16 เซนติเมตร (หน้ากระดาษ A4 เมื่อตั้งระยะขอบซ้าย 3 เซนติเมตร ขอบขวา 2 เซนติเมตร จะเหลือพื้นที่สำหรับการพิมพ์ มีความกว่าง 16 เซนติเมตร)
2. ขนาดตราครุฑ
2.1 ตราครุฑ 3 เซนตเมตร ใช้สำหรับการจัดทำกระดาษตราครุฑ
ตราครุสูง 1.5 เซนติเมตร ใช้สำหรับการจัดทำกระดาษบันทึกข้อความ
2.2 การวางตราครุฑให้วางห่างจากขอบกระดาษบนประมาณ 2.5 เซนติเมตร (เผื่อพื้นที่สำหรับประทับตราหนังสือ และการลงทะเบียนรับทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์)
3. การพิมพ์
3.1 การจัดทำหนังสือราชการตามแบบท้ายระเบียบฯ จำนวน 11 แบบ (ได้แก่ หนังสือภายนอก หนังสือภายใน หนังสือประทับตรา คำสั่ง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ แถลงการณ์ ข่าว หนังสือรับรอง และ รายงานการประชุม ) ให้ใช้รูปแบบตัวพิมพ์ (ฟอนต์) ไทยสารบรรณ (Th Sarabun Psk) ขนาด 16 พอยท์
3.2 การพิมพ์หนังสือที่มีข้อความมากกว่า 1 หน้า หน้าต่อไปให้ใช้กระดาษที่มีคุณภาเช่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกับแผ่นแรก
3.3 การพิมพ์หัวข้อต่าง ๆ ของหนังสือแต่ละชนิด ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ
3.4 ก่อนเริ่มพิมพ์ข้อความ ให้ (Click File > ตั้งค่าหน้ากระดาษ (Page Setup) ก่อนเสมอ เพื่อเลือกขนาดกระดาษที่จะใช้พิมพ์ ตั้งระยะขอบหน้ากระดาษ และการวางแนวกระดาษ
3.5 จำนวนบรรทัดการพิมพ์หนังสือราชการในแต่ละหน้าให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับจำนวนข้อความ และความสวยงาม
แบบมาตรฐาตการพิมพ์หนังสือราชการภาษาไทยด้วยโปรแกรมการพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ ประกอบด้วยแบบมาตรฐานการพิมพ์ พร้อมคำแนะนำประกอบการพิมพ์หนังสือราชการชนิดต่าง ๆ ซึ่งใช้ในการปฏิบัติราชการใน ทร. รวม 9 ชนิด ดังนี้
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายในที่ใช้กระดาษบันทึกข้อความ ส่วนหนังสือภายในที่ใช้กระตราครุฑให้จัดพิมพ์ตามแบบของหนังสือภายนอกโดยอนุโลม
3. บันทึก
4. หนังสือประทับตรา
5. คำสั่ง
5.1 คำสั่ง กรณีหัวหน้าส่วนราชการที่ออกคำสั่งให้เป็นผู้ลงชื่อ
5.2 คำสั่ง กรณีคับคำสั่ง
6. ระเบียบ
7. ประกาศ
8. หนังสือรับรอง
9. รายงานการประชุม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กินนม

การกินนมให้ถูกวิธี ดื่มนมให้ได้ประโยชน์

การดื่มนม อยากถูกวิธี เราควรกินนม อย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และ สิ่งที่ไม่ควรทำตอนกินนม ไม่ว่าจะเป็น กินนมพร้อมกับ ยา และ อื่นๆการกินนมให้ถูกวิธี


การกินนมให้ถูกวิธี

1 ไม่ควรเติมน้ำตาลใส่นมมากเกิน 8 กรัม ต่อนม 100 มิลลิลิตร และไม่ควรใส่น้ำตาลในขณะที่นมกำลังร้อนจัด เพราะจะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ที่เหมาะสมที่สุดควรจะใส่น้ำตาลในขณะที่นมเริ่มเย็นลง หรืออุ่นๆ และน้ำตาลที่ใช้ควรจะเป็นน้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลอ้อยเพราะร่างกายจะดูดซึมได้ง่ายกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ
2 ไม่ควรทานยาพร้อมกับนม เพราะนมจะเข้าไปเคลือบกระเพาะ และทำให้ฤทธิของยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ เมื่อดูดซึมเข้าไปไม่ได้ก็ไม่เกิดประโยนช์อะไรเลย ทางที่ดีควรทานยาก่อนหรือหลังดื่มนม 1-2 ชั่วโมงจะดีที่สุด
3 การต้มนมจนเดือดถึง 100 องศา จะทำให้สารอาหารที่มีประโยนช์และน้ำตาลในนมเกิดการไหม้เกรียมได้ เมื่อมีการไหม้เกรียมจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งขึ้นมาแทนที่ อีกทั้งแคลเซี่ยมที่อยู่ในนมก็จะจับตัวเป็นตะกอน ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ยากยิ่งขึ้น ที่สำคัญอีกอย่าง ห้ามใส่น้ำมะนาวลงในนมโดยเด็ดขาด เพราะกรดจากน้ำมะนาวจะทำลายโปรตีนในนมจนหมด
4 ห้ามใช้นมเปรี้ยวเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมเปรี้ยวมีจุลินทรีย์ที่อาจจะทำให้ทารกท้องเสียได้
5 นมข้น ห้ามใช้นมข้นเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมข้นไม่มีคุณสมบัติและสารอาหารที่เกิดประโยนช์ต่อร่างกายทารกเลยแม้แต่น้อย และในนมข้นยังมี ไขมัน น้ำตาล และโซเดียมเป็นหลัก ซึ่งอาจจะเกิดผลเสียต่อร่างกายทารกอีกหลายอย่าง เช่น โรคขาดสารอาหาร พลังงาน และโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารกเป็นอย่างมาก ด้วยความปารถนาดีค่ะ

เราสามารถเรียนรู้วิธีการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop นี้ได้ด้วยตัวเอง  คุณสามารถที่จะทำการแก้ไขภาพ ตกแต่งภาพ ซ้อนภาพในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การใส่ข้อความประกอบลงในภาพด้วย  และเนื่องด้วย Adobe Photoshop มีการพัฒนาโปรแกรมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราจำเป็นต้องศึกษาคำสั่งต่างๆ ให้เข้าใจ แต่ที่สำคัญ เมื่อคุณเรียนรู้การใช้คำสั่งในเวอร์ชั่นเก่า คุณก็ยังคงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้ด้วยง่ายๆเลย
ประโยช์นของ ps นะคะ
1.ตกแต่งหรือแก้ไขรูปภาพ
2.ตัดต่อภาพบางส่วน หรือที่เรียกว่า crop ภาพ
3.เปลี่ยนแปลงสีของภาพ จากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้
4.สามารถลากเส้น แบบฟรีสไตล์ หรือใส่รูปภาพ สี่เหลี่ยม วงกลม หรือสร้างภาพได้อย่างอิสระ
5มีการแบ่งชั้นของภาพเป็น Layer สามารถเคลื่อนย้ายภาพได้เป็นอิสระต่อกัน
6.การทำ cloning ภาพ หรือการทำภาพซ้ำในรูปภาพเดียวกัน
7.เพิ่มเติมข้อความ ใส่ effect ของข้อความได้
8.Brush หรือแปรงทาสี ที่สามารถเลือกรูปแบบสำเร็จรูปในการสร้างภาพได้และอื่นๆ อีกมากมาย

                                    
การศึกษา (Education)ในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 นิยาม ความหมายของการศึกษา มีความหมายว่า "กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต" และมาตรา 15 ได้กำหนดระบบการศึกษา ในการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 
 กล่าวโดยสรุป ได้ดังนี้
  • ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปจบ
  •  การศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อเสริมเติมเต็มและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยไม่แบ่งเป็นระดับชั้น การศึกษาสำหรับผู้อ่านออกเขียนได้ การจัดการศึกษาที่สนองความต้องการความจำเป็นของผู้เรียนที่ให้โอกาสทางการศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตให้กับบุคคลการจัดประสบการณ์ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยหน่วยงานทางการศึกษาต่างๆ
  • การศึกษาที่ถูกกำหนดในรูปของโอกาส เพื่อให้ผูกพันต่อเนื่องกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลังจากจบระดับประถมศึกษาหรือเทียบเท่าการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคคลต่อเนื่องจากฐานความรู้เดิม ในรูปของกิจกรรมการเรียนรู้หรือหลักสูตรการเรียนรู้ ประเภทมีหน่วยกิตและไม่มีหน่วยกิตซึ่งมิใช่การศึกษาตามระบบปกติ การศึกษาต่อเนื่อง เป็นได้ทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ การยกระดับฝีมือในการทำงาน รวมทั้งหลักสูตรการพัฒนาตนเองเพื่อการทำงาน และการเรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหา การศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการ และความจำเป็นของบุคคล ต่อเนื่องไปจากการศึกษา ขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา
  • เราทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันเเต่ที่เราเหมือนกันคือเราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อเป็นประโยชน์เเกตัวเราเอง

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

วันนี้เรียนรู้เรื่องการสร้างปกรายงานด้วยpowerpoint
ใช้สำหรับทำปกรายงาน ปก portfolio ปกอะไรก้ได้ ไม่ง้อ photoshop ซึ่งเรียนรู้เเละทำง่ายมากๆสามารถสืบค้นตัวอย่างได้จาก google ได้อีก ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆในการทำงาน ประยุกต์โปรเเกรมที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วิธีง่ายๆด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
1.ตั้งค่า slide ให้มีขนาด a4 เเนวตั้ง
2.เเทรก รูปภาพ ต่างๆ จัดใหเสวยงาม ล้นออกจาก slide ได้ ซึ่งมันจะเเสดงเเค่ใน slide
3.แทรกภาพตัวเอง ที่มีพื้นหลัง เบลอๆ หรือสีเดียว ให้ตัวเราเด่นๆ สวยๆ จากนัน้คลิกเอาพื้นหลังออก ว้าว!!!!!!!!คลิกเดียวสวย
4.เเทรกข้อความตามด้วยเนื้อหา
5.เเทรกรูปภาพประกอบ พอประมาณ
6.บันทึก เเละบันทึกเป็น JPG/PNG หรือสั่งพิมพ์เลย สวยยยยยยยยยยยย
วิดีโอจากเด็กโชว์พอร์ตhttps://www.youtube.com/watch?v=nxDgyq4KrbA

วชิกา ราคาเเพง

วชิกา ราคาเเพง

สถานที่

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Facebook

Facebook Wachika Rakapang

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ค้นหาบล็อกนี้

Popular Posts